รูปกล่องกับตัวการ์ดด้านหน้าหามาจาก google ทั้งหมดนะครับ
ซึ่งหน้าตามันเหมือนกับ ตัวที่ผมใช้อยู่ทุกประการแต่ผมขี้เกียจถอดมันออกมาถ่ายรูป
รวมถึงสติกเกอร์ X-Fi XTREME FIDELITY ที่ติดมากับตัวชิพของการ์ด มาแต่แรกเลยครับ
มาถึงไดรฟเวอร์ ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 โหมดครับ
Entertainment Mode
Game Mode
Audio Creation Mode
ผมจะรีวิวส่วน Entertainment Mode เท่านั้นนะครับ เพราะ Game Mode ก็ไม่ได้ต่างไรมากครับ ส่วน Audio Creation Mode คงไม่มีใครได้ใช้เท่าไหร่ แต่ถ้าจะใช้ก็ไม่ยากครับ
Entertainment Mode
1. output speakers กี่ ch
2. แสดงการใช้งานโหมด X-Fi Crystalizer ถ้าไม่ใช้จะไม่มีขึ้นครับ
3. แสดงการใช้งานโหมด SVM [Smart Volume Management] ถ้าไม่ใช้จะไม่มีขึ้นครับ
4. แสดงการใช้งาน Equalizer ถ้าไม่ใช้จะไม่มีขึ้นครับ
ข้อ 2.3.4. หากมีการเปิดใช้งานโหมดอื่นๆเพิ่มเติมก็จะแสดงตรงนี้ครับ
5.Speaker Configuration
6.Headphone
7.EAX Effect
8.X-Fi CMSS-3D
9.X-Fi Crystalizer
10.Smart Volume Management
11.Equalizer
12. Microphone Effect
13.Mixer
14.Encoder
15.เลื่อนเมนูที่เหลือครับ
16.Jack
17.Digital I/O
18.Mode Switcher
-Entertainment Mode
-Game Mode
-Audio Creation Mode
19.Volume ปรับได้เมื่อต่อออกเป็น analog 3.5mm
20.Volume Bass ปรับได้เมื่อต่อออกเป็น analog 3.5mm
21.Volume Treble ปรับได้เมื่อต่อออกเป็น analog 3.5mm
ข้อ19.20.21. ถ้าต่อออก Optical จะไม่สามารถปรับส่วนนี้ได้เพราะ การ์ดจะหน้าที่ส่งสัญญาณเสียงไปยัง ตัวรับสัญญาณแล้วถอดอีกทีเท่านั้นจึงไม่สามารถปรับในส่วนนี้ได้
22.Default
5.Speaker Configuration
5.1 เลือกและบอกว่าเราใช้สัญญาณ output กี ch ครับ
5.2 ค้นหาว่าเราเชิ่อมต่อ speaker กี่ ch แล้วจะตั้งค่าให้อัตโนมัติครับ
5.3 Bass Management
5.4 ปรับเสียงแต่ละ ch (ในรูปเป็น 5.1 ch ครับ)
5.5 เทส ch เป็นเสียงพูด
5.6 เทส ch เป็นเสียงซ่า
5.7 display บอก ch
5.8 Speaker Configuration
5.3 Bass Management
5.3.1 ใช้ Bass Redirection
5.3.2 ความถี่ย่าน Bass
5.3.3 เพิ่มเสียง Subwoofer [+15dB]
5.3.4 ระดับของ Subwoofer
5.8 Speaker Configuration
5.8.1 จะเห็นว่า jack สีไรเป็นเสียง ch ไหน
5.8.2 สามารถเทส Bass ได้ โดยกดที่ Bass Test ครับ
5.8.3 เทสเสียงแบบไล่เสียงโดยกดที่ Channel Test และ เทสเสียงแบบฟังแล้วกดว่าเป็น ch ไหนได้โดยกดที่ Reassign
5.8.4 เทสเสียงแบบเป็นชุด โดยกด Start แล้วกด Next ไปเรื่อยๆ
5.8.5 ปรับองศาทิศทางและระยะ***งของ speaker โดยจะเป็น center จะเป็นแกนครับ และเทสเสียงซ่าได้โดยกด Noise Test
5.8.6 ปรับลดเสียงแต่ละ ch และเทสเสียงซ่าได้โดยกด Level Test
6.Headphone
6.1 จะเลือกเป็น Headphone ทันทีใน Speaker Configuration เมื่อเสียบสาย Headphone ที front panel(หน้าเคส)
6.2 ปิดเสียง speaker เมื่อเสียบสาย Headphone ที front panel(หน้าเคส)
7.EAX Effect
เสียงจะเปลี่ยนไปตาม effect ที่เลือก
8.X-Fi CMSS-3D
เลือกเสียง Stereo Envelopment ให้ไปทาง Front หรือ Surround
8.1 X-Fi CMSS-3D Surround
สามารถเลือก X-Fi CMSS-3D Surround Upmix Mode ได้ 2 แบบ Stereo Xpand กับ Stereo Surround
9.X-Fi Crystalizer
โหมดนี้จะทำให้เสียงใสขึ้น เหมือนคริสตัลครับ ผมใช้ที่ 80% ครับ
10.Smart Volume Management
โหมดนี้เหมือนเป็นการ ควบคุมเสียงระหว่างดังสุดกับเบาสุดให้สมดุลกันครับ ผมไม่ได้ใช้โหมดนี้อะครับ
11.Equalizer
ไม่แนะนำให้ปรับอะครับ เว้นแต่จะฟังเพลงแล้ว เสียงไม่ถูกใจ ค่อยปรับมันครับแล้วอย่าลืมปรับคืนละครับ เด่วเวลาดูหนังเสียงจะเพี้ยนไปได้
11.1 เลือก EQ ได้เป็น Acoustic,Classical,Country,Dance,Flat,Jazz,New Age,Pop,Rock,Vocal
ถ้าลำโพงหรือหูฟังดีอยู่แล้ว แนะนำให้ใช้เป็น Flat หริอติ้ก Enable EQ ออกก็ได้ครับ เพราะมันจะได้เสียงที่แท้จริงจากไฟล์ หาก ลำโพงหรือหูฟัง เสียงไม่ค่อยดีหรือไม่ถูกใจท่านๆ คงต้องใช้ EQ เข้าช่วยละครับ ผมใช้แบบไม่ปรับอะไรเลยอะครับ เสียงมันก็ดีอยู่แล้ว
12. Microphone Effect
เลือกใช้เสียง effect ได้โดยติ้กที่ Enable VoiceFX หรือ ตัดเสียงรอบข้างที่ Enable Silencer ส่วน Effect มีดังนี้ครับ
ผมเคยลองบาง effect นะครับ ฮาดีเสียงมันฮาๆตลกดี แบบเสียง Demon มันจะใหญ่ๆอะครับ Robot ก็จะมีเสียงสะท้อน
13.Mixer
เราสามารถควบคุมเสียงปิดเสียงได้จากตรงนี้ครับ หรือจะอัดเสียงก็ทำได้ครับ โดยไปกดที่ Rec อะครับ
14.Encoder
เลือกได้ 2 โหมดนะครับ เลือกแล้วไปกดที่ Setting โดยปกติผมจะใช้ DTS Connect อะครับส่วนมันคืออะไรนั้นไปดูที่ 14.2,14.3 เลยครับ
Mode DTS Connect นี้ทำหน้าที่คือ ในกรณีที่เราต่อผ่าน SPDIF(Optical) มันจะ Encode เสียง stereo ให้เป็น multichannel sound[5.1]
14.1 Dolby Digital Live
14.2 DTS Connect
14.1 Dolby Digital Live
Modeนี้ทำหน้าที่คือแปลงเสียง 5.1 ให้เป็น Digital Bitstream in real-time เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องรับ Home theater หรือระบบลำโพงครับ และให้เราเลือกสัญญาณ output แต่ในที่นี่มี output SPDIF ที่มีอยู่ที่การ์ด อันเดียวจึงไม่ต้องเลือกครับ
14.2 DTS Connect
Modeนี้ทำหน้าที่คือ ขับเสียง stereo ให้เป็น multichannel sound[5.1]
14.2.1 DTS Neo:PC
มี 2 Mode ครับ Cinema กับ Music ถ้าใช้ Music Mode สามารถเลือกได้ด้วยครับว่าจะเอาเสียงกว้างหรือแคบครับ
14.2.2 DTS Interactive
ให้เราเลือกสัญญาณ output แต่ในที่นี่มี output SPDIF ที่มีอยู่ที่การ์ด อันเดียวจึงไม่ต้องเลือกครับ
ข้อ 14.1,14.2เราต้องเลือก sound Payback Device ให้เป็น Speaker(Creative SB X-Fi)เหมือนที่บอกมาในรูป 14.1,14.2.2 นะครับ ไม่งั้นจะไม่ได้ยินเสียงนะครับ
16.Jack
Flexijack Mode คือเป็นสัญญาณเข้า หากเราใช้ไมค์ก็เลือกที่ไมค์ หากจะใช้เสียงจากภายนอกให้เลือก Line-in ครับ โดย Line-in นี้ได้จาก SPDIF input กับ รูที่เสียบไมค์ ครับ
จะแสดงให้เห็นว่าเราต่อสาย speaker เข้าที่ ch ไหนบ้างที่การ์ด Detect เจอ
17.Digital I/O
สามารถเลือกใช้ Bit-Matched Recording และเล่น Stereo Mix Using Digital output ได้ครับ
หมดแล้วครับในส่วนของไดรฟเวอร์และการปรับตั้ง
มาดูการเชื่อมต่อกันเลย ผมไม่บอกถึงวิธีติดตั้งการ์ดเสียง ลงบนเมนบอร์ดนะครับ เพราะทุกๆท่านย่อมทำได้อยู่แล้ว อาจจะกล่าวถึงการติดต้อง Case panel ที่เป็นพอร์ทออกไปใช้งานที่หน้าเคสน่ะครับว่าแล้วก็เอาสะก่อนเลย
นี่คือสายครับหน้าตาของสาย panel จาก case นะครับจะมีรูที่บอดอยู่เสียบเข้าที่ตัวการ์ดได้พอดีครับ
เมื่อติดตั้งเสร็จ
ด้านหลังเมื่อติดตั้งตัวการ์ดเสร็จ มันจะเป็นแบบนี้ครับ
ที่เห็นเป็นพอร์ท สี่เหลี่ยม คือพอร์ท SPDIF หรือ Optical ครับ โดยสีดำเป็น Input สีเทาเป็น Output ครับ
ส่วนรู้ minijack 3.5 mm 5 รูที่เห็นเป็นดังนี้ครับ
ดำ Surround 2 ข้าง (ลำโพงหลังของ 4.0,5.1,7.1 ch)
เหลือง center,subwoofer (ของ 5.1,7.1 ch)
เทา side 2 ข้าง (ลำโพงข้างของ 7.1 ch)
เขียว front 2 ข้าง (ลำโพงหน้าของ 2.0,4.0,5.1,7.1 ch หรือถ้าเราจะต่อหูฟัง(2.0)จากตัวการ์ดมาเสียบที่รูนี้ครับ)
ฟ้า mic/Line in (ใช้ไมค์เสียบไมค์ ใช้เสียงเข้าก็เอาสายมาต่อรับจากเครื่องเล่นเสียงได้เลยครับ)
และเมื่อเอาหูฟัง 5.1 ของผมมาต่อ
เมื่อติดตั้งเสร็จสมบูรณ์
โดยรวม การ์ดตัวนี้มีโหมดให้เลือกใช้ได้ถึง 3 โหมด จากที่ผมได้ใช้มา Entertainment Mode กับ Game Mode ผมแถบไม่รู้สึกถึงความต่าง เพราะบางที่เล่นเกมผมก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนโหมดแต่อย่างใดใช้ Entertainment Mode นั่นแหละครับเล่นเกมส์ แต่ดูหนังผมจะใช้ Entertainment Mode อย่างเดียวครับ
ส่วนที่สามารถเพิ่ม subwoofer ได้ 15dB นั้น ใครที่ว่าออนบอร์ดให้เบสได้ไม่สะใจท่านๆทั้งหลาย ต้องสะใจไปกับเบสที่เยอะขึ้นในโหมดนี้ครับ (ผมใช้บ้างไม่ใช้บ้าง อยากมันส์ก็ใช้ครับ) มันส์แน่นอน
ส่วน X-Fi CMSS-3D ผมไม่ค่อยได้ใช้อะครับถึงจะเป็นหูฟังก็เป็น 5.1 อะครับ เคยลองแล้วเสียงมันแปลกๆ ใครจะลองก็ได้นะครับ แต่ถ้าเป็นหูฟังหรือลำโพง 2.0 นี่ มันให้เสียงรอบทิศทาง 3D ได้อย่างดีเลยทีเดียวรู้เลยว่าเสียงมาจากทางไหน
ส่วน X-Fi Crystalizer ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของการ์ด Creative ได้เลย ผมชอบโหมดนี้มากๆ มันทำให้เสียงนี่ใสได้อย่างชัดเจน เสียงเคลีย เสียงแหลมนี่มาแบบเต็มดี เรียกได้ว่าถ้าเป็น 100% เสียงบาดหู บาดใจแน่นอนครับ
สรุป ต่อให้การ์ดเสียงท่านเทพแค่ไหนหูฟังลำโพงท่านเทพยังไง เสียงมันจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับการปรับตั้งของแต่ละคนนะครับ(รวมถึงไฟล์เสียงที่เอามาเปิดด้วย) และแต่ละคนย่อมมีความชอบไม่เหมือนกันอีก
สำหรับผมการ์ดตัวนี้ตอบสนองการใช้งานของผมได้เป็นอย่างดี เพราะจากที่ใช้มามันสุดยอด แต่ ถ้าหากว่าใครยังไม่พอใจหรือคิว่ายังไม่ดีพอ ก็ลองไปมองรุ่นที่สูงกว่านี้น่าจะตอบสนองท่านได้มากกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม รุ่นสูงกว่านี้ราคาก็สูงตามหากใช้ เล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง ที่เราๆใช้สามารถหาดูหาฟังได้ ตัวนี้ผมเหมาะสมสุดละ ราคาอาจจะสูงไปนิดสำหรับบางคน (3,xxx) แต่ก็คุ้มค่าครับ
สุดท้ายนี่ เป็น Review ครั้งแรกของผม ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมรบกวนด้วยนะครับ จะได้เป็นข้อมูลให้คนอื่นๆ ได้อีก
ขอบคุณครับ
Review request by I3iLLyZx[FPS Thailand]
Comment