จากข่าวของกรุงเทพธุรกิจ
17 เมษายนที่ผ่านมา เอเอ็มดี (Advanced Micro Devices) บริษัทผลิตซีพียูอันดับสองของโลก รองจากอินเทล ประกาศผลไตรมาสแรกของปีนี้ว่าขาดทุน 358 ล้านดอลลาร์
ถึงเวลาสิ้นหวังกับ AMD?
คนบ้านพริก banprick@hotmail.com
17 เมษายนที่ผ่านมา เอเอ็มดี (Advanced Micro Devices) บริษัทผลิตซีพียูอันดับสองของโลก รองจากอินเทล ประกาศผลไตรมาสแรกของปีนี้ว่าขาดทุน 358 ล้านดอลลาร์ หลังจากไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วทำกำไรได้อยู่ 21 ล้านดอลลาร์ นับจากต้นปี 2007 ถึงไตรมาสแรกของปีนี้ สรุปตัวเลขขาดทุนของเอเอ็มดี ตอนนี้จะสูงถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว และนั่นทำให้หลายคนกังขาว่า การเทคโอเวอร์บริษัทผลิตการ์ดกราฟิกชื่อดังอย่าง ATI เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ของเอเอ็มดีหรือไม่
"เอเอ็มดี" เริ่มค่อยๆ ขาดทุนหลังจากผิดพลาดทางด้านกลยุทธ์ทั้งการตลาด และการผลิต ด้านการผลิต คือ ไม่สามารถผลิตสินค้าไฮเทคได้ทัน และเก่งเท่าอินเทล โดยแพ้อินเทลมาไม่ต่ำกว่า 3 ไตรมาส กล่าวคือ ในขณะที่อินเทลกระโดดไปใช้เทคโนโลยีการผลิตชิพแบบ 45 นาโนเมตรแล้ว ซึ่งทำให้ชิพซีพียูของอินเทลประหยัดไฟ และประหยัดต้นทุนการผลิตได้มาก ทางเอเอ็มดีกลับใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบเก่า ซึ่งเป็นรุ่น 65 นาโนเมตร
นอกจากนี้ อินเทลยังนำชิพชนิด 4 แกน หรือควอดคอร์ ออกสู่ตลาดได้ก่อน ทำให้เอเอ็มดีซึ่งเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีซีพียู กลายเป็นผู้ตามอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ เอเอ็มดีประกาศว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตชิพแบบ 45 นาโนเมตรภายในสิ้นปีนี้ (ตอนแรกว่าจะใช้ทันกลางปี) โดยใช้โค้ดเนมการผลิตนี้ว่า เซี่ยงไฮ้ ข่าวนี้ทำให้พนักงานของเอเอ็มดี กระทั่งนักลงทุนในตลาดหุ้น เกิดความหวังและมองเอเอ็มดีในทางบวกมากขึ้น
สำหรับผลการขาดทุนครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นแปลกใจประการใด เพราะซีอีโอของเอเอ็มดี "นายเฮกเตอร์ รูอีซ" (Hector Ruiz) เคยทำนายไว้ก่อนหน้านี้ว่าเอเอ็มดี อาจจะพบปัญหาขาดทุนในไตรมาสแรกของปี ทั้งนี้เพราะต้นปี มักจะเป็นฤดูกาลที่บริษัทมีรายได้น้อยกว่าปกติ นอกจากนี้ด้วยปัญหาเศรษฐกิจอเมริกา ซึ่งมีแนวโน้มถดถอยมาตั้งแต่ปลายปี เป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผลประกอบการของเอเอ็มดีไม่ดี
รูอีซ เคยทำนายไปล่วงหน้าแล้วว่า บริษัทจะขาดทุน ดังนั้นจึงได้ประกาศแผนลดคน 10% ทั่วโลกมานานระยะหนึ่งแล้ว และหลังจากที่บริษัทแถลงผลประกอบการขาดทุนเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ในสัปดาห์นี้ เขาประกาศจะลดพนักงานในส่วนที่ไม่จำเป็น 5% ก่อนที่จะมีการลดคนอีกครั้ง 5% อีกในเดือนหน้า
อันที่จริง ไตรมาสแรกของปีนี้ เอเอ็มดีมีรายได้สูงกว่าไตรมาสแรกของปีก่อนเสียด้วยซ้ำ โดยมีอัตราเติบโตของรายได้สูงถึง 30% แต่ด้วยต้นทุนการผลิตที่สูง และการลงทุนในแผนกที่ไม่เกิดรายได้ ทำให้เฮกเตอร์ รูอีซประกาศว่าจะกลับมาวิเคราะห์อีกครั้งว่า หน่วยงานไหนที่ไม่ทำกำไรและควรจะตัดออกไป ซึ่งได้แก่แผนกชิพมือถือ และแผนกคอนซูมเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ เขายังมีแผนที่จะลดต้นทุนการผลิตให้ได้อีกไตรมาสละ 1.5-1.7 พันล้านดอลลาร์อีก
ข่าวดีสำหรับเอเอ็มดีก็คือ ตอนนี้เอเอ็มดีพร้อมแล้วสำหรับสงครามชิพควอดคอร์ หรือ 4 แกน โดยมีชิพโค้ดเนม บาร์เซโลน่า และฟีนอม (Barcelona และ Phenom) ควอดคอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์และพีซีตั้งโต๊ะออกมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีชิพ 3 คอร์ ภายใต้โค้ดเนมฟีนอม โดยเล็งว่าจะเป็นชิพสำหรับตลาดพีซีราคาประหยัด เพื่อถล่มตลาดพีซีควอดคอร์ และดูอัลคอร์ของอินเทลโดยตรง ทั้งนี้ด้วยราคาที่ถูกกว่าและความเร็วที่เหนือกว่า
ข่าวนี้ได้รับการยืนยันเมื่อวันที่ 17 ที่ผ่านมาเช่นกันว่า ทั้ง HP, Gateway และ eMachines ต่างพร้อมใจกันเปิดตัวพีซีตั้งโต๊ะที่ใช้ซีพียู X3 (สามคอร์) จากเอเอ็มดี สนนราคาอยู่ที่ 549-649 ดอลลาร์หรือราว 17,000-19,500 บาท ตัวอย่างสเปคได้แก่ Gateway รุ่น GT5670 ใช้ชิพ AMD X3 8400 processor (2.1GHz) ที่มีหน่วยความจำแคช L3 ขนาด 2MB, หน่วยความจำ 3GB (PC2-5300 DDR2), การ์ดกราฟิก Nvidia GeForce 6150 SE, ฮาร์ดดิสก์ 320GB (7200 rpm) ราคาอยู่ที่ 17,000 บาทเอง (ใครที่เพิ่งซื้อคอมพ์ในงานคอมมาร์ต คงต้องรอโอ้มายก๊อด..ด่วนซื้อเร็วเกินไป)
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ 4 วันหลังจากเอเอ็มดีและพันธมิตรประกาศตัวพีซีตั้งโต๊ะรุ่นนี้ อินเทลก็ต้อนรับน้องใหม่ ด้วยการประกาศลดราคาชิปควอดคอร์รุ่นระดับล่าง ลงทันที 50% โดยรุ่น Core 2 Quad Q6700 (2.66GHz) ลดราคา 50% จากเดิม 530 ดอลลาร์ เหลือเพียง 266 ดอลลาร์, ส่วนรุ่น quad-core Xeon X3230 (2.66GHz) จาก 530 ดอลลาร์เหลือ 266 ดอลลาร์เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังใช้กลยุทธ์แซนวิช ลดราคาตัวซีพียูระดับล่างลงอีกราว 12-31% เช่น dual-core Celeron E1200 (1.6GHz) ลด 19% เหลือ 43 ดอลลาร์, Core 2 Duo E6850 (3GHz) ลด 31% เหลือ 183 ดอลลาร์ เป็นต้น ข่าวการลดราคาชิพของอินเทลนี้ ได้สร้างกระแสความกดดันกับเอเอ็มดีอย่างมาก เพราะอาจทำให้เอเอ็มดีต้องรีบลดราคาชิพลงก่อนกำหนด และนั่นทำให้กำไรของเอเอ็มดี ยากที่จะฟื้นในระยะเวลาอันสั้น
ในฝั่งตลาดโน้ตบุ๊ค เอเอ็มดีก็เตรียมถล่ม เซนทริโน ของอินเทลด้วยชิพเซตตระกูล พูม่า (Puma) โดยในหนึ่งชุดของชิป จะประกอบด้วยซีพียู Turion Ultra และชิพเซต RS780M ซึ่งมีการผนึกรวมหน่วยควบคุมกราฟิกที่เอเอ็มดีอ้างว่าทำงานได้เร็วกว่าชิพกราฟิกของอินเทลรุ่น X3100 ถึง 5 เท่า
โน้ตบุ๊คตระกูลพูม่านี้ คาดว่าจะเริ่มวางตลาดได้ในราวปลายไตรมาสที่ 2 นี้ และนั่นน่าจะเป็นการสวนหมัดตอบโต้อินเทลที่รุนแรงมากที่สุด เพราะเซนทริโนคืออู่ข้าวอู่น้ำของอินเทลในขณะนี้
สำหรับข้อดีของชิพเซตพูม่านอกจากที่กล่าวมา ชิพเซตนี้ยังได้รับรางวัลการออกแบบมากกว่า 100 รางวัล แถมมีจุดแข็งในเรื่องการประหยัดไฟ โดยเมื่อคอมพิวเตอร์ไม่ได้ใช้งานกราฟิก ไม่ได้เล่นเกม ชิพเซตนี้ก็จะปิดวงจรไฟฟ้าด้านกราฟิกออกไป นอกจากนี้ยังรองรับระบบบัสแบบใหม่ HyperTransport Technology 3.0 (HT 3.0) ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ HT 2.0 หรือ 20.8 GB/วินาที ที่ความเร็วบัส 2.6 GHz
หมัดเด็ดยังมีต่อ เอเอ็มดีเตรียมประกาศตัวชิพรุ่น 6 คอร์ในปีนี้ และในปีหน้าเป็นชนิด 12 คอร์ภายใต้โค้ดเนมชื่อว่า อีสตันบูล
ปลายปีนี้ เราคงเห็นการฟาดฟันของวงการซีพียูอีกครั้ง หลังจากปล่อยให้อินเทลเล่นบทพระเอกมานานหลายไตรมาสต่อกัน
และเมื่อนั้น..คุณจะลืมคำว่า Dual Core เพราะว่าเรากำลังเข้าสู่ยุค 3 คอร์ขึ้นไปแล้วครับท่าน !
อ้างอิงจากกรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2551
http://www.bangkokbizweek.com/200804..._26230075.html
17 เมษายนที่ผ่านมา เอเอ็มดี (Advanced Micro Devices) บริษัทผลิตซีพียูอันดับสองของโลก รองจากอินเทล ประกาศผลไตรมาสแรกของปีนี้ว่าขาดทุน 358 ล้านดอลลาร์
ถึงเวลาสิ้นหวังกับ AMD?
คนบ้านพริก banprick@hotmail.com
17 เมษายนที่ผ่านมา เอเอ็มดี (Advanced Micro Devices) บริษัทผลิตซีพียูอันดับสองของโลก รองจากอินเทล ประกาศผลไตรมาสแรกของปีนี้ว่าขาดทุน 358 ล้านดอลลาร์ หลังจากไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วทำกำไรได้อยู่ 21 ล้านดอลลาร์ นับจากต้นปี 2007 ถึงไตรมาสแรกของปีนี้ สรุปตัวเลขขาดทุนของเอเอ็มดี ตอนนี้จะสูงถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว และนั่นทำให้หลายคนกังขาว่า การเทคโอเวอร์บริษัทผลิตการ์ดกราฟิกชื่อดังอย่าง ATI เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ของเอเอ็มดีหรือไม่
"เอเอ็มดี" เริ่มค่อยๆ ขาดทุนหลังจากผิดพลาดทางด้านกลยุทธ์ทั้งการตลาด และการผลิต ด้านการผลิต คือ ไม่สามารถผลิตสินค้าไฮเทคได้ทัน และเก่งเท่าอินเทล โดยแพ้อินเทลมาไม่ต่ำกว่า 3 ไตรมาส กล่าวคือ ในขณะที่อินเทลกระโดดไปใช้เทคโนโลยีการผลิตชิพแบบ 45 นาโนเมตรแล้ว ซึ่งทำให้ชิพซีพียูของอินเทลประหยัดไฟ และประหยัดต้นทุนการผลิตได้มาก ทางเอเอ็มดีกลับใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบเก่า ซึ่งเป็นรุ่น 65 นาโนเมตร
นอกจากนี้ อินเทลยังนำชิพชนิด 4 แกน หรือควอดคอร์ ออกสู่ตลาดได้ก่อน ทำให้เอเอ็มดีซึ่งเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีซีพียู กลายเป็นผู้ตามอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ เอเอ็มดีประกาศว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตชิพแบบ 45 นาโนเมตรภายในสิ้นปีนี้ (ตอนแรกว่าจะใช้ทันกลางปี) โดยใช้โค้ดเนมการผลิตนี้ว่า เซี่ยงไฮ้ ข่าวนี้ทำให้พนักงานของเอเอ็มดี กระทั่งนักลงทุนในตลาดหุ้น เกิดความหวังและมองเอเอ็มดีในทางบวกมากขึ้น
สำหรับผลการขาดทุนครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นแปลกใจประการใด เพราะซีอีโอของเอเอ็มดี "นายเฮกเตอร์ รูอีซ" (Hector Ruiz) เคยทำนายไว้ก่อนหน้านี้ว่าเอเอ็มดี อาจจะพบปัญหาขาดทุนในไตรมาสแรกของปี ทั้งนี้เพราะต้นปี มักจะเป็นฤดูกาลที่บริษัทมีรายได้น้อยกว่าปกติ นอกจากนี้ด้วยปัญหาเศรษฐกิจอเมริกา ซึ่งมีแนวโน้มถดถอยมาตั้งแต่ปลายปี เป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผลประกอบการของเอเอ็มดีไม่ดี
รูอีซ เคยทำนายไปล่วงหน้าแล้วว่า บริษัทจะขาดทุน ดังนั้นจึงได้ประกาศแผนลดคน 10% ทั่วโลกมานานระยะหนึ่งแล้ว และหลังจากที่บริษัทแถลงผลประกอบการขาดทุนเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ในสัปดาห์นี้ เขาประกาศจะลดพนักงานในส่วนที่ไม่จำเป็น 5% ก่อนที่จะมีการลดคนอีกครั้ง 5% อีกในเดือนหน้า
อันที่จริง ไตรมาสแรกของปีนี้ เอเอ็มดีมีรายได้สูงกว่าไตรมาสแรกของปีก่อนเสียด้วยซ้ำ โดยมีอัตราเติบโตของรายได้สูงถึง 30% แต่ด้วยต้นทุนการผลิตที่สูง และการลงทุนในแผนกที่ไม่เกิดรายได้ ทำให้เฮกเตอร์ รูอีซประกาศว่าจะกลับมาวิเคราะห์อีกครั้งว่า หน่วยงานไหนที่ไม่ทำกำไรและควรจะตัดออกไป ซึ่งได้แก่แผนกชิพมือถือ และแผนกคอนซูมเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ เขายังมีแผนที่จะลดต้นทุนการผลิตให้ได้อีกไตรมาสละ 1.5-1.7 พันล้านดอลลาร์อีก
ข่าวดีสำหรับเอเอ็มดีก็คือ ตอนนี้เอเอ็มดีพร้อมแล้วสำหรับสงครามชิพควอดคอร์ หรือ 4 แกน โดยมีชิพโค้ดเนม บาร์เซโลน่า และฟีนอม (Barcelona และ Phenom) ควอดคอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์และพีซีตั้งโต๊ะออกมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีชิพ 3 คอร์ ภายใต้โค้ดเนมฟีนอม โดยเล็งว่าจะเป็นชิพสำหรับตลาดพีซีราคาประหยัด เพื่อถล่มตลาดพีซีควอดคอร์ และดูอัลคอร์ของอินเทลโดยตรง ทั้งนี้ด้วยราคาที่ถูกกว่าและความเร็วที่เหนือกว่า
ข่าวนี้ได้รับการยืนยันเมื่อวันที่ 17 ที่ผ่านมาเช่นกันว่า ทั้ง HP, Gateway และ eMachines ต่างพร้อมใจกันเปิดตัวพีซีตั้งโต๊ะที่ใช้ซีพียู X3 (สามคอร์) จากเอเอ็มดี สนนราคาอยู่ที่ 549-649 ดอลลาร์หรือราว 17,000-19,500 บาท ตัวอย่างสเปคได้แก่ Gateway รุ่น GT5670 ใช้ชิพ AMD X3 8400 processor (2.1GHz) ที่มีหน่วยความจำแคช L3 ขนาด 2MB, หน่วยความจำ 3GB (PC2-5300 DDR2), การ์ดกราฟิก Nvidia GeForce 6150 SE, ฮาร์ดดิสก์ 320GB (7200 rpm) ราคาอยู่ที่ 17,000 บาทเอง (ใครที่เพิ่งซื้อคอมพ์ในงานคอมมาร์ต คงต้องรอโอ้มายก๊อด..ด่วนซื้อเร็วเกินไป)
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ 4 วันหลังจากเอเอ็มดีและพันธมิตรประกาศตัวพีซีตั้งโต๊ะรุ่นนี้ อินเทลก็ต้อนรับน้องใหม่ ด้วยการประกาศลดราคาชิปควอดคอร์รุ่นระดับล่าง ลงทันที 50% โดยรุ่น Core 2 Quad Q6700 (2.66GHz) ลดราคา 50% จากเดิม 530 ดอลลาร์ เหลือเพียง 266 ดอลลาร์, ส่วนรุ่น quad-core Xeon X3230 (2.66GHz) จาก 530 ดอลลาร์เหลือ 266 ดอลลาร์เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังใช้กลยุทธ์แซนวิช ลดราคาตัวซีพียูระดับล่างลงอีกราว 12-31% เช่น dual-core Celeron E1200 (1.6GHz) ลด 19% เหลือ 43 ดอลลาร์, Core 2 Duo E6850 (3GHz) ลด 31% เหลือ 183 ดอลลาร์ เป็นต้น ข่าวการลดราคาชิพของอินเทลนี้ ได้สร้างกระแสความกดดันกับเอเอ็มดีอย่างมาก เพราะอาจทำให้เอเอ็มดีต้องรีบลดราคาชิพลงก่อนกำหนด และนั่นทำให้กำไรของเอเอ็มดี ยากที่จะฟื้นในระยะเวลาอันสั้น
ในฝั่งตลาดโน้ตบุ๊ค เอเอ็มดีก็เตรียมถล่ม เซนทริโน ของอินเทลด้วยชิพเซตตระกูล พูม่า (Puma) โดยในหนึ่งชุดของชิป จะประกอบด้วยซีพียู Turion Ultra และชิพเซต RS780M ซึ่งมีการผนึกรวมหน่วยควบคุมกราฟิกที่เอเอ็มดีอ้างว่าทำงานได้เร็วกว่าชิพกราฟิกของอินเทลรุ่น X3100 ถึง 5 เท่า
โน้ตบุ๊คตระกูลพูม่านี้ คาดว่าจะเริ่มวางตลาดได้ในราวปลายไตรมาสที่ 2 นี้ และนั่นน่าจะเป็นการสวนหมัดตอบโต้อินเทลที่รุนแรงมากที่สุด เพราะเซนทริโนคืออู่ข้าวอู่น้ำของอินเทลในขณะนี้
สำหรับข้อดีของชิพเซตพูม่านอกจากที่กล่าวมา ชิพเซตนี้ยังได้รับรางวัลการออกแบบมากกว่า 100 รางวัล แถมมีจุดแข็งในเรื่องการประหยัดไฟ โดยเมื่อคอมพิวเตอร์ไม่ได้ใช้งานกราฟิก ไม่ได้เล่นเกม ชิพเซตนี้ก็จะปิดวงจรไฟฟ้าด้านกราฟิกออกไป นอกจากนี้ยังรองรับระบบบัสแบบใหม่ HyperTransport Technology 3.0 (HT 3.0) ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ HT 2.0 หรือ 20.8 GB/วินาที ที่ความเร็วบัส 2.6 GHz
หมัดเด็ดยังมีต่อ เอเอ็มดีเตรียมประกาศตัวชิพรุ่น 6 คอร์ในปีนี้ และในปีหน้าเป็นชนิด 12 คอร์ภายใต้โค้ดเนมชื่อว่า อีสตันบูล
ปลายปีนี้ เราคงเห็นการฟาดฟันของวงการซีพียูอีกครั้ง หลังจากปล่อยให้อินเทลเล่นบทพระเอกมานานหลายไตรมาสต่อกัน
และเมื่อนั้น..คุณจะลืมคำว่า Dual Core เพราะว่าเรากำลังเข้าสู่ยุค 3 คอร์ขึ้นไปแล้วครับท่าน !
อ้างอิงจากกรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2551
http://www.bangkokbizweek.com/200804..._26230075.html
Comment