Announcement

Collapse
No announcement yet.

เปิดตำนาน Diablo

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • เปิดตำนาน Diablo

    สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นเกม Diabo มาก่อน (แต่สำหรับคนที่เคยเล่นแล้วจะทบทวนก็ได้น่ะครับ)
    แต่มีความสนใจในเกม Diabo III ที่กำลังจะมาใหม่
    ผมได้รวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับเกม Diabo ภาค 1 และ 2 มาให้ เพื่อนๆทั้งหลาย
    ที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้ ได้ทราบเรื่องราวของภาค 1 และ 2 ก่อนที่จะไปเล่นภาค 3 ครับ

    81
    เคย
    88.89%
    72
    ไม่เคย
    11.11%
    9

  • #2
    ย้อนรอยตำนานตำนาน Diabo ภาคแรก

    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ : http://www.manager.co.th/Game/ViewNe...=9490000095643




    เป็นเวลานานแล้วที่วงการเกม Action-RPG ช่างเต็มไปด้วยความซบเซา หลังจากที่ปีนี้ได้มีเกม Action-RPG เกมใหม่อย่าง Titan Quest ออกมาก็ทำให้วงการนี้ดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง ก็เลยคิดว่านับเป็นโอกาสอันดีที่เราน่าจะลองย้อนไปดูสุดยอดตำนานอย่าง Diablo ว่ามีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร

    Diablo เป็นเกมที่พัฒนาโดย Blizzard North ออกจำหน่ายในปี 1996 เป็น Action role-playing game ซึ่งรองรับการเล่นแบบคนเดียวและหลายคน โดยลงทั้ง Microsoft Windows, Mac และ Sony PlayStation นอกจากจะเล่นในโหมดธรรมดาแล้วยังสามารถเล่นแบบผู้เล่นหลายคนทางอินเทอร์เน็ตโดยผ่าน Battle.net

    เป็นเกมที่เป็นลักษณะของ hack and slash ที่มีการควบคุมโดยใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ที่เรียกว่าแบบ point-and-click โดยการลากเมาส์ไปที่ตัวศัตรูและก็ทำการคลิกเมาส์เพื่อโจมตี จุดมุ่งหมายหลักของเกมคือการทำลายล้างเหล่าปีศาจที่ถูกเรียกมาโดย Diablo เจ้าแห่งความสยดสยอง ซึ่งอยู่ใน 16 ชั้นใต้ดินของเมืองเล็กที่ชื่อว่า Tristram และในท้ายที่สุดก็คือการเด็ดหัวของ Diablo ซะ

    Diablo เป็นเกมที่เล่นได้หลายรอบด้วยบลักษณะพิเศษคือการสุ่มแผนที่ การสุ่มตำแหน่งและที่อยู่ของศัตรู และการสุ่มไอเท็มต่างที่ได้ในแต่ละครั้งทำให้การเล่นในแต่ละครั้งจะไม่ เหมือนกัน



    เรามารู้จักกับ Tristram หรือ The town of Tristram กัน Tristram เป็นที่ๆซึ่งผู้เล่นออกรวบรวมข้อมูลข่าวสาร เควสต่างๆ ซื้อขายไอเท็ม หรือรับการรักษาต่างๆ เรียกได้ว่ากินนอนกันอยู่แถวๆนั้นก็ได้เพราะเราต้องขึ้นๆลงๆ ระหว่าง Tristram กันชั้นใต้ดินอยู่ตลอดเวลา และ Tristram ก็ถูกลดบทบาทลงใน Diablo II เพราะเราเข้าไปที่ Tristram เพียงสั้นๆเท่านั้นและก็ออกไปผจญภัยตามสถานที่ต่างๆรอบเมืองซะมากกว่า



    สำหรับตัวละครคลาสต่างๆใน Diablo จะมีอยู่ด้วยกัน3ตัวละครให้เลือกคือ Warrior ซึ่งถนัดด้านการโจมตีด้วยอาวุระยะประชิด Rogue ซึ่งถนัดโจมตีจากระยะไกลด้วยธนู และยังสามารถใช้เวทมนตร์ได้ดีกว่า Warrior และยังทำลายกับดักต่างๆได้ Sorcerer จะเป็นพวกที่ถนัดการใช้เวทมนตร์ และไม่เหมือนคลาสต่างๆในเกมสมัยใหม่ ซึ่ง Diablo ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของศักยภาพของคลาสต่างๆ เพราะ Warrior ก็สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ได้ และ Sorcerer ก็ใช้ธนูได้

    แรกเริ่มเดิมทีนั้น Diablo ได้แรงบันดาลใจมาจาก Moria และก็ Angband โดยลักษณะหลายๆอย่างจะเป็นเหมือนกับที่เรียกกันว่า roguelike games




    ภาพแสดงตัวอย่างเกม Angband


    Moria นั้นเป็นลักษณะของ roguelike games รุ่นโบราณโดยยึดเนื้อเรื่องจาก The Lord of the Rings ซึ่งผู้เล่นต้องลงไปยังเหมือง Moria ผ่านเขาวงกตที่สลับซับซ้อน และจัดการกับ Balrog ซึ่งเวอร์ชั่นแรกๆถูกสร้างโดย Robert Alan Koeneke ที่ University of Oklahoma

    Angband นั้นเป็นลักษณะของเกมลุยดันเจี้ยนโดยเอาเนื้อเรื่องมาจากนิยายของ J. R. R. Tolkien เวอร์ชั่นแรกถูกสร้างโดย Alex Cutler และ Andy Astrand ที่ University of Warwick ในปี 1990 ลักษณะโดยรวมของทั้งเกมจะเป็นการใช้สัญลักษณ์ตัวอักษรต่างๆแทนค่ากราฟิกโดยที่เรารับบทเป็น Angband กองกำลังป้องกัน Morgoth และเข้าตะลุยในดันเจี้ยนทั้งหมด 100 ชั้น และเขาหรือเธอจะต้องสะสมอาวุธและพลังเพื่อจัดการกับ Morgoth และที่ฉากต่างๆก็จะมีการสุ่มใหม่ทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนฉาก ทำให้การเล่นมีความท้าทายอยู่เสมอ


    ภาพแสดงตัวอย่าง เกมRogue


    roguelike games นั้นก็คือลักษณะของเกมที่ได้แบบหรือเอาแบบมาจากเกม Rogue ของปี 1980 ครับ โดยที่จะมีลักษณะของการใช้ ตัวอักษรแบบพื้นๆหรือตัวอักษร ASCII เพื่อสร้างดันเจี้ยนแบบสองมิติ ซึ่งในภายหลังนักสร้างเกมส่วนใหญ่ก็นิยมในไปเป็นแบบอย่าง





    Diablo มีภาคเสริมออกมาในปี 1997 ชื่อว่า Diablo Hellfire โดย Sierra Entertainment ซึ่งเพิ่มอีกสองดันเจี้ยนกับเนื้อเรื่องพิเศษและไอเท็มเพิ่มเติมต่างๆ กับตัวละครใหม่อีก 1 ก็คือ Monk ซึ่งอาจจะเรียกกันได้ว่าเป็นตัวละครที่ยังไม่ผ่านการทดสอบดีก็ว่าได้ เป็นภาคเสริมที่แทบจะไม่มีใครกล่าวถึง เต็มไปด้วยบั๊ก และที่แปลกคือ มี Patch ออกมาเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น และก็ถ้าเปลี่ยนเป็น Diablo Hellfire แล้วจะไม่สามารถที่จะ Patch โดยใช้ Patch ของ Blizzard ได้ซึ่งแปลกมากๆ

    The legendary Cow Level จะกล่าวถึงตำนานของสิ่งทีไม่ค่อยปกติในเกม Diablo เป็นเรื่องที่เล่ากันในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับฉากลับ ซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธชั้นดี และศัตรูที่อันตราย และมีหัวหน้าที่แข็งแกร่งกว่า Diablo ซะอีก วิธีการไปยังที่แห่งนั้นมีการเล่าต่อๆกันมาไม่แน่นอน แต่มีวิธีหนึ่งที่ได้ยินมากก็คือการคลิกที่ตัวของวัวใน Tristram เป็นจำนวนมากกว่า 50 ครั้งติดๆกัน ฉากนี้จึงถูกเรียกกันว่า "Cow Level"

    มันเป็นเรื่องที่เพี้ยนดีแท้ เพราะเวลาที่เราคลิกที่วัวมันก็แค่ร้องออกมาเท่านั้น และมันก็ไม่ใช่วิสัยที่ฮีโร่อย่างเราจะกระทำกัน นานๆไปเรื่องเล่ายิ่งเพี้ยนกันไปใหญ่เมื่อมีคนเล่าว่าที่จริงแล้วสัตว์ ประหลาดในฉากนี้จะเป็นพวกวัวบ้า และเรื่องเล่าอื่นยิ่งเพี้ยนเข้าไปอีกเช่นสัตว์ประหลาดในฉากนี้จะมีกระดิ่ง รอบคอ ตัวสีขาว และโจมตีด้วยการฉีดสเปรย์นม และหัวหน้าของฉากนี้ก็คือ Cow King ซึ่งแข็งแกร่งกว่า Diablo ซะด้วย

    ในที่สุด Cow level ก็เป็นแค่เรื่องเล่าตลกๆ หรือภาพที่มีการตัดต่อใหม่ทำให้เรื่องนี้ดังเป็นเวลาหลายปี จนทีมพัฒนาของ Blizzard ได้รับอีเมล์ที่พูดถึง "how do I get to the cow level"เป็นเวลานาน จึงได้นำไปเป็นสูตรโกงในเกม StarCraft โดยพิมพ์ว่า "there is no cow level"แล้วจะชนะในฉากนั้นทันที และในภาคเสริม Diablo Hellfire ก็มีการล้อเรื่องเล่านี้ โดยวิธีการไปยังฉากใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เราจะต้องไปคุยกับชายที่ใส่ชุดวัว

    และเพื่อเป็นการบริการแฟนเกมทั้งหลายที่อยากจะสัมผัสกับ cow level ทาง Blizzard จึงได้นำมันไปใส่ไว้ใน Diablo II ซึ่งจะเป็นสถานที่กว้างๆ และเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่ซื่อ "Hell Bovines" ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับวัวที่เดินตรงๆได้ และก็ถือขวาน และเสียงร้องก็เป็นเสียงร้อง "moo." ซึ่งบันทึกจากเสียงของพนักงานในบริษัท Blizzard และก็ไม่มีการปรากฏตัวของหัวหน้าอย่าง Cow King ด้วย มีแต่เพียง Hell Bovine ตัวพิเศษเท่านั้น

    เมื่อเร็วนี้ หลังจากที่ Cow level ถูกจับได้ว่าเป็นเรื่องโกหก cow level จึงเป็นเรื่องตลกที่โผล่ขึ้นมาเป็นครั้งคราว เช่นในเกม World of Warcraft มีการเล่าลือถึงวิธีการเข้าไปเล่นในฉาก cow level โดยผ่าน Mulgore ในเมือง Tauren ซึ่งป็นสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนวัว จึงได้มีการใส่คำแนะนำใหม่ลงไปในตอนโหลดเกมว่า "TIP: There is no cow level" หรืออย่างเรื่องเล่าเรื่องการใช้คำว่า /chicken พิมพ์เพื่อแสดงความรู้สึกบ่อยๆก็อาจจะทำให้เข้าไปสู่ cow level ได้

    Comment


    • #3
      ย้อนรอยตำนาน Diablo 2
      ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ : http://www.manager.co.th/Game/ViewNe...=9490000098003



      หลังจากที่ Diablo เจ้าแห่งความสยดสยอง ได้ถูกกำจัดไปแล้ว โลกดูเหมือนจะเข้าสู่ความสงบสุข แต่แล้วความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อ Diablo กลับพื้นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมด้วยพลังที่มากกว่าเดิม โลกกำลังก้าวเข้าสู่ความหายนะ และแล้วก็มีฮีโร่กลุ่มใหม่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือเหล่ามวลมนุษย์ใน Diablo II และภาคเสริม Lord of Destruction

      เกม Diablo II เป็นเช่นเดียวกับเกม Diablo คือเป็นเกม action role-playing ในลักษณะของ hack and slash ซึ่งเป็นการผจญภัยใน Dungeon หรือคุกใต้ดิน ซึ่งออกจำหน่ายทั้งสำหรับ Microsoft Windows และ Mac OS ในปี 2000 โดย Blizzard Entertainment และพัฒนาโดยทีม Blizzard North

      ต่อมาในเดือน เมษายนปี 2001 Diablo II ก็กลายมาเป็นสุดยอดออนไลน์เกมยอดนิยมจากหลายๆเกมที่มีผู้คนนิยมเล่นกันผ่าน อินเทอร์เน็ต ซึ่งสิ่งที่ช่วยผลักดันให้เกิดความสำเร็จก็เนื่องมาจากการที่ผู้เล่นสามารถ เข้าไปเล่นเกมได้อย่างง่ายๆผ่าน Battle.net อีกทั้งยังสามารถเล่นแบบผู้เล่นเดี่ยวหรือผู้เล่นหลายคนผ่านระบบ LAN และอินเทอร์เน็ตหรือผ่าน Battle.net ได้ ซึ่งนำไปสู่การเป็นหนึ่งในจำนวน10 อันดับสุดยอดเกมขายดีบนเครื่องคอมพิวเตอร์ และอันดับ 1 ของเกม role-playing ขายดีสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์

      เกมขายดีบนเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งตามประเภท
      -ประเภท Sim - The Sims (16 ล้านชุด)
      -ประเภท Adventure - Myst (11 ล้านชุด)
      -ประเภท RTS - StarCraft (9 ล้านชุด)
      -ประเภท FPS - Half-Life (8 ล้านชุด)
      -ประเภท MMORPG - World of Warcraft (6 ล้านชุด)
      -ประเภท RPG - Diablo II (7 ล้านชุด)
      -ประเภท Action/Adventure - Tomb Raider II (2.24 ล้านชุด)

      แนวคิดเกมโดย Stieg Hedlund โดยมีผู้ก่อตั้ง Blizzard North David Brevik Eric และ Max Shaefer ทำหน้าที่ Project Leads สำหรับหน้าที่ต่างๆคือ Engineering, ออกแบบตัวละคร และ ออกแบบสภาพแวดล้อม, การลำดับตอน ส่วนหัวเรือใหญ่ของโปรดักชั่นนี้คือ Matthew Householder และ Bill Roper มีภาคเสริมคือ Diablo II: Lord of Destruction ในปี 2001 และตอนนี้เวอร์ชั่นล่าสุดคือ 1.11b

      เนื้อเรื่องของภาคนี้เริ่มขึ้นไม่นานจากภาคที่แล้ว เมื่อ Diablo เจ้าแห่งความสยดสยอง ได้ถูกทำลายลงไป ฮีโร่ของเราจึงได้เก็บหินวิญญาณของ Diablo เอา ไว้ ซึ่งเป็นหินวิญญาณที่ผูกพันกันระหว่างเทพและปีศาจ และนำมันใส่ไว้ในร่างของตนเพื่อที่หวังว่าจะเก็บกักมันไว้ตลอดกาล แต่ว่ามันช่างเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เมื่อฮีโร่กลับถูกครอบงำโดย Diablo และไม่สามารถบังคับตัวเองได้

      ในไตเติ้ลของ Diablo II ชายที่ชื่อ Marius ได้เล่าถึงการเป็นพยานในตอนที่ ฮีโร้ได้เปลี่ยนไป กลายเป็น Dark Wanderer และปีศาจก็ได้ปรากฏตัวในร้านเหล้า และเขาก็ได้ตาม Dark Wanderer ไปด้วยเหตุผลที่เขาก็ไม่อาจเข้าใจได้

      เราก็ได้เริ่มเรื่องในตอนที่หายนะได้ตื่นขึ้นมา และตามรอย Dark Wanderer ไป สุดท้ายก็ไปพบกับเขาที่เมือง Kurast แต่ไม่สามารถหยุดเขาได้ ในเกมจะมีฉากใหญ่ๆทั้งหมด 4 ฉากเรียกว่า Act คือ Act ที่ 1 ถึง Act ที่ 4 และเราจะไม่ได้สู้แค่ Diablo แต่ยังมีพี่น้องของ Diablo อีกสองนั่นก็คือ Mephisto และก็ Baal ซึ่ง Diabloได้ปลดปล่อยพวกเขาออกจากที่กักขัง เราต้องเดินทางไปหลายๆดินแดนเพื่อขัดขวางการยึดครองโลกของ Diablo



      ในเกมจะมีตัวละครให้เลือกทั้งหมด 4 ตัวได้แก่ Amazon ซึ่งถนัดการต่อสู้โดยใช้อาวุธระยะไกลคือธนูซึ่งสามารถรวมกับการใช้ธาตุไฟและน้ำแข็ง ถ้าดูโดยทั่วไปจะใกล้เคียงกันกับ Rogue ในภาคแรก แต่ที่แตกต่างกันคือการที่ Amazon ใช้หอกหรือแหลนและหอกซัดได้ ซึ่งใช้รวมกับธาตุสายฟ้าและพิษได้ และมีสกิลพื้นฐานที่มีความแตกต่าง

      Barbarian เป็นคาแร็กเตอร์ที่ทรงพลังในการใช้สกิลเกี่ยวกับอาวุธระยะประชิด ใช้อาวุธคู่ได้ สกิลของเขาจะเต็มไปด้วยหลากหลายสกิลสำหรับอาวุธ ทำให้สามารถใช้อาวุธระยะประชิดได้หลากหลาย ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นคลาสเดียวกับ Warrior ก็ได้ แถมยังมีความอึด ทน และถึกเป็นอย่างมากอีกด้วย

      Paladin ก็เป็นตัวละครที่มีอาชีพสาย warrior อีกแบบหนึ่ง แต่เขาจะถนัดการใช้สกิลต่อสู้กับพวก undead พวกซากที่ไม่ยอมตายทั้งหลาย และเขายังถนัดสกิลแบบใชัโล่ด้วย เช่นการใช้โล่กระแทกให้มึน การเพิ่มพลังให้โล่ในการป้องกันต่างๆ หรือการโจมตีรัวๆหลายครั้งโดยใช้ความสามารถ Zeal ความสามารถพิเศษอีกอย่างของ Paladin คือการใช้สิ่งที่เรียกว่าการ buff สำหรับตัวเองและเพื่อนๆในทีม โดยการใช้ auras ต่างๆ เช่น เพิ่มพลังป้องกันพิษ เพิ่มพลังชีวิต เพิ่มความเร็ว หรือการใช้ auras ในการสร้างความเสียหายแก่ศัตรู เป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมด้วยพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง การโจมตีที่รุ่นแรง และ auras ต่างๆที่น่าใช้

      Sorceress เป็นตัวละครที่แข็งแกร่งไปด้วยเวทมนตร์สายต่างๆ พวกน้ำแข็ง สายฟ้า และไฟ หรือคาถาที่ทำให้ศัตรูช้าลง และคาถาแช่แข็ง ซึ่งเป็นคาถายอดนิยม เพราะเมื่อศัตรูถูกแช่แข็งเราก็จะสามารถทุบให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ ถึงแม้จะเป็นตัวละครที่แข็งแกร่งเพราะมีคาถาแรงๆให้ใช้มากมาย แต่ว่าตอนเริ่มต้นจะอ่อนแอมากๆ และแพ้การโจมตีทุกชนิด เพราะพลังป้องกันต่ำ ที่สำคัญเป็นตัวละครที่เรียกได้ว่าดื่มขวดยาเพิ่ม mana แทนน้ำเปล่า เพราะการใช้เวทมนตร์ต่างๆต้องใช้ mana จำนวนมาก Sorceress ที่ไม่มี mana ก็เหมือนคนตายดีๆนี่เอง

      Necromancer เป็นพวกที่ใช้เวทมนตร์เหมือนๆกับ Sorceress แต่วิธีการใช้แตกต่างกัน เพราะ Necromancer ใช้เวทมนตร์ชุบชีวิตคนตายขึ้นมาเพื่อใช้งาน โดยการเรียก keleton หรือ golem จากศพของศัตรู และใช้มันจัดการกับศัตรูซะ และก็เช่นเดียวกับ Sorceress เพราะตอนเริ่มต้น Necromancer จะอ่อนแอมากๆ และอีกอย่างก็คือ Necromancer ที่ปราศจากลุกสมุน undead ของเขาละก็ Necromancer ก็คือคนตายดีๆนี่เอง

      เล็กน้อยๆ
      -ชื่อของคนและ ไอเท็ม หรือชื่อสถานที่ส่วนใหญ่ใน Diablo II เอาชื่อของคนใน บริษัท Blizzard มาใช้ครับ
      -Secret Cow Level เป็นเรื่องตลกในอินเทอร์เน็ตของ Diablo ซึ่งเล่าถึงการปรากฏตัวของวัวในเกม Diablo ทาง Blizzard เองก็ได้เขัาใจและเห็นใจ จึงได้นำมันมาใส่ใน Diablo II โดยการที่เราต้องสังหาร Diablo หรือใน Lord of Destruction คือต้องสังหาร Baal และกลับไปยัง Act 1 ที่ Rogue Encampment แล้วนำ Wirt's Leg กับ Tome of Town Portal มารวมกันโดยใช้ Horadric Cube เราจะสามารถเปิดประตูสู่ฉาก Secret Cow Level ได้




      Diablo II: Lord of Destruction

      Diablo II: Lord of Destruction เป็นภาคเสริมแท้ๆของ Diablo II จาก Blizzard North โดยเพิ่มฉากใหม่คือ Act ที่ 5 ซึ่งเป็น ส่วนรอบๆของ Mount Arreat ในดินแดน Barbarian ตอนเหนือ และหัวหน้าฉากคือ Baal และมีสองตัวละครใหม่มาเพิ่มคือ Assassin และ Druid

      Assassin จะถนัดการต่อสู้ระยะประชิดการโจมดีด้วย Katar ซึ่งเป็นอาวุธชนิดเดียวที่ Assassin สามารถถือคู่กันทั้งสองมือได้ สกิลท่าไม้ตายเตะต่อย การวางกับดักต่างๆ และยังสามารถเรียกตัวละครเงาซึ่งเป็นร่างเงาของตัวเราออกมาช่วยได้ ดูจะใกล้เคียงกับของ Amazon แต่จะดีกว่า

      Druid จะเป็นพวกใช้ธาตุต่างๆเช่นการเรียกไฟ หรือภูเขาไฟขนาดเล็ก และจะถนัดในการเรียกสัตว์มาเป็นผู้ช่วย อย่าง อีกา หมี และหมาป่า และสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์สมิงคือมนุษย์หมีและมนุษย์หมาป่าได้อีกด้วย

      อะไรคือเอกลักษณ์ของ Diablo II นอกจาการต่อสู้แบบ hack and slash และการเล่นแบบ point-and-click แล้ว อาชีพของตัวละครจำนวนมาก เสื้อผ้าชุดเกราะเกือบทุกชิ้นที่ใส่จะมีการแสดงกราฟิกให้เห็น มีระดับความยากที่หลากหลายให้ท้าทาย

      สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างคือฉากที่มีการสุ่มในแต่ละครั้งไม่ เหมือนกัน ไอเท็มต่างๆพวกอาวุธหรือชุดเกราะที่มีการสุ่มและการแยกประเภทความยอดเยี่ยม ของสิ่งของโดยใช้สีเป็นตัวกำหนด เช่นสีฟ้าคือสิ่งของที่มีเวทมนตร์ สีเขียวคือส่วนหนึ่งของไอเท็มเซ็ท สีเหลืองคือไอเท็มหายาก สีทองคือ ไอเท็มพิเศษ พวกไอเท็มเซ็ทก็คือไอเท็มที่เมื่อใส่รวมกันเป็นเซ็ทครบสมบูรณ์จะเพิ่มความ สามารถพิเศษให้

      ไอเท็มรูซึ่งจะมีรูตั้งแต่ 1 รูขึ้นไป และสามารถจะเอาเพชรชนิดต่างๆหรือหัวกระโหลก และไอเท็มพวก Rune words ใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มความสามารถของไอเท็มชิ้นนั้น โดย เฉพาะ Rune words ซึ่งถ้าสามารถหามาและเอามาใส่ในรูเรียงกันได้อย่างถูกต้องก็สามารถที่จะได้ความสามารถพิษแบบมหาศาลไม่แพ้ไอเท็มเซ็ทหรือไอเท็มพิเศษเลย

      ไอเท็มสุดมหัศจรรย์ Horadric Cube ซึ่งสามารถเอาไอเท็มหลายๆอย่างมารวมกันแล้วอัพเกรดหรือสร้างไอเท็มใหม่ได้ ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้ามีเกมอื่นๆที่มีอะไรใกล้เคียงหรือเหมือนๆกัน เราอาจจะเรียกได้ว่าเกมแนว Diablo ก็ว่าได้


      ความลับใน Patch 1.11

      สำหรับ Patch 1.11 นั้นได้ใส่สิ่งที่เป็นความลับเพิ่มลงไปอีก นั่นก็คือ "berquest" เราจะต้องเก็บสะสมกุญแจ คือ Key of Hate จาก the Summoner,Key of Destruction จาก Nihlathak และ Key of Terror จาก the Countess แล้วนำไปรวมกันใน Horadric Cube เพื่อเปิด ประตูเข้าไปต่อ สู้กับ Lilith (Andariel), ber Izual หรือ ber Duriel ซึ่งจะให้ชิ้นส่วนต่างๆของร่างกาย และนำไปรวมกันใน Horadric Cube เพื่อเปิดประประตูเข้าสู่ฉากพิเศษ Chaos Tristram

      Chaos Tristram เมื่อเข้าไปแล้วเราต้องสู้กับหัวหน้าใหญ่ในเกมทั้งหมด 3 ตัว ซึ่งจะได้ไอเท็มพิเศษนั่นคือ Hellfire Torch เป็น charm ชนิดพิเศษ ซึ่งจะให้ +3 to all skills of a random class, random bonuses to all attributes และ all resistances, และให้ 25% chance to cast Diablo's Firestorm attack on striking จะจริงแท้แค่ไปก็ต้องลองไปค้นหากันดู

      Comment


      • #4
        ที่มา : http://webboard.playpark.com/showthread.php?p=207790


        เนื้อเรื่อง Diablo ทั้งหมด

        credit : จาก Jokeboy /www.gconsole.com



        เนื่อง จากอาจมีบางคนไม่เคยเล่น Diablo ภาคแรก หรือบางคนอาจจะเล่นแล้วไม่เข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมด เพราะฉนั้นผมจึงคิดทำการรวบรวมเนื้อเรื่องทั้งหมดของ จักวาล Diablo มาให้อ่านกันนะครับถ้ากระแสดีก็จะมาลงเพิ่มให้เรื่อยๆนะครับหรือใครมีคำถาม สงสัยก็มาถามได้นะ... อาจมี spoil เป็นระยะๆนะครับ
        บทที่ 1 บทเริ่ม…ณ อดีตอันไกลโพ้น

        นานมาแล้วก่อนการกำเนิดของ Sanctuary(โลกที่มนุษย์อยู่และพื้นที่ในเกมส์ที่เราเล่น) ยังมีการคงอยู่แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือเหล่าเทพแห่งสวรรค์ตัวแทนแห่งคุณความดีทั้งหลายปกครองโดยเหล่า เทวทูตชั้นสูงทั้ง 6 คน
        Auriel เทวทูตหญิงคนเดียวในคณะ และเป็นเทวทูตแห่งความดีงามความอ่อนโยนแต่งกายในผ้าคลุมสีน้ำเงิน(อาจจะเคย มีความสัมพันธ์บางอย่างกับ Mephisto ไว้ว่างๆจะมาเล่าอีกที)
        Imperias เทวทูตแห่งสงครามแต่งกายในเกราะแดงเพลิง
        Malthael แต่งกายในผ้าคลุมและเกราะสีดำเข้มดุจรัตติกาล เป็นเทวทูตแห่งความตาย
        Ithrael แต่งกายในชุดเทาเป็นเทวทูตแห่งความเป็นกลาง มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นทั้งชายและหญิง - -“





        Tyrael เทวทูตแห่งความยุติธรรม สุดเท่เป็นเทวทูตตนเดียวที่เคยโผล่มาในเกมส์แฟนน่าจะคุ้นเคยกับลักษณะดีแล้ว.... และคนสุดท้ายผู้มาบทบาทสำคัญมากในจักวาลแห่ง Diablo ก็คือ Inarius เทวทูตชาย.....รูปงามผู้แสนใจภูมิใจในความหล่อของตน..


        เหล่าปีศาจร้ายแห่งเปรวเพลิงแห่งนรก ในนรกนั้นมี7จอมปีศาจ โดยแบ่งออกเป็น 3 จ้าวอสูร

        Mephisto เจ้าแห่งความเกลียดชัง พี่ใหญ่สุดในสามพี่น้องจ้าวอสูร


        Baal เจ้าแห่งการทำลายล้าง


        และ พระเอกของเรื่องนี้ Diablo เจ้าแห่งความกลัว (the Lord of Terror )น้องเล็กและเป็นเจ้าอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในทั้งสามเจ้าอสูร นอกจาก3เจ้าอสูรแล้วก็มีอีก 4 จอมอสูรผู้ปกครองรองลงมา

        Duriel เจ้าแห่งความเจ็บปวด บอสใน Act 2 ของDiablo 2ที่เป็นตัวแมลงใหญ่ๆ อ่ะแหละ


        Comment


        • #5


          Andarieal สาวน้อยแห่งความทุกข์ บอสสาวแสนSexyใน act 1 นั่นเอง


          Berial เจ้าแห่งการหลอกลวง และ Azmodan เจ้าแห่งบาป
          นอกจากจอมปีศาจทั้ง7 แล้วก็มีปีศาจที่สำคัญๆตนอื่นอีกมากนะครับ ยกตัวอย่างเช่น Lilith ราชีนีแห่ง Succibi Lilith นั้นเป็นลูกสาวของ Mephisto และเธอยังเป็นแม่ของ Andariel อีกด้วยครับ นอกจากนั้น Lilith ยังมีบทบาทที่สำคัญมากๆอีกต่อไปด้วย Lucion ลูกชายอีกคนของ Mephisto ครับ


          ทั้งสองฝ่ายนั้นทำการต่อสู้และก่อสงครามกันมาเป็นระยะเวลายาวนานนนนมาก โดยก็ไม่สามารถเกิดผลตัดสินเด็ดขาดกันได้จนทั้งสองฝ่ายเรียกสงครามครั้งนี้ ว่า Eternal war สงครามนิรันด์ทำให้มีทั้งเทวดาและปีศาจบางตนเกิดความเบื่อหน่ายกับสงคราม ครั้งนี้ นำโดย เทวทูตInarius Inarius จึงได้รวบรวมเหล่าเทวทูตแหละปีศาจทั้งหลายที่เบื่อหน่ายต่อสงครามพร้อมกับ Lilith คู่รักของคน (lilithและ inarius เป็นคนรักกันครับ) หนีออกจากสวรรค์และนรกและเริ่มการสร้างดินแดนแห่งใหม่ ดินแดนที่มีแต่สันติสุขและความสงบ สวรรค์ในอุดมคติที่ซึ่งทั้งปีศาจและเทวดาสามารถอยู่ร่วมกันได้ และตั้งชื่อดินแดนแห่งนี้ว่า Sanctuary ......


          (โปรดติดตามตอนต่อไป) กำเนิด Sanctuaryและ World stone


          บทที่ 2 กำเนิด Sanctuary และมหาสงครามแห่งบาป

          หลังจากที่ Inarius Lilith แหละเหล่าผู้ติดตามทั้งหลายได้ช่วยกันสร้างดินแดนแห่ง Sanctuary ขึ้นมาแล้วนั้น Inarius นั้นไม่ต้องการให้เหล่าเทวทูตแหละปีศาจที่เหลือ ล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของ Sanctuary จึงได้สร้าง World stone ขึ้นมาเพื่ออำพรางปกปิดให้เทวทูตและปีศาจไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของ Sanctuary

          หลังจากนั้นเหล่าปีศาจและเทวทูตทั้งหลายก็ได้ให้กำเนิดลูกหลาน เชื้อสายของตนออกมา (ในนิยายบอกไว้ว่าไม่ได้มีSexกันแต่มีความสัมพันธ์กันยังไงก็ไม่ได้บอกไว้) (Lilith และ Inarius มีลูกด้วยกันคือ Rathma และ Rathma นี้เองเป็นผู้เผยแพร่คำสอนให้แก่เหล่า Necromancer ไว้มีโอกาสหรือแฟน Necro ต้องการจะมาเล่าอีกที)

          เหล่าบุตรของปีศาจและเทวทูตทั้งหลายเหล่านี้มีชื่อว่า Nephalem หรืออีกชื่อคือ บุตรแห่ง Sanctuary เหล่า Nephalem นั้นมีความสามารถสูงมาก สูงจนกระทั่งมีความเก่งกาจเหนือแม้กระทั่งเทวทูตและเหล่าปีศาจที่ให้กำเนิด ตน ทำให้ lilith นั้นมีความต้องการที่จะนำเหล่า nephalem ไปใช้ในการสงครามและคิดตั้งตนเองขึ้นเป็นนายใหญ่แห่งเหล่ากองทัพ Nephalem และนำทัพเข้าต่อสู่กับกองทัพแห่งสวรรค์ เนื่องจากไม่มีใครสามารถต่อกรกับเหล่า Nephalem ได้ไม่ว่าจะทั้งเทวทูตหรือปีศาจ

          แต่ Inarius นั้นเบื่อหน่ายกับการต่อสู้และต้องการให้เหล่า Nephalem บูชาตนเองเป็นดังเช่นเทพเจ้าสูงสุด มิได้มีความต้องการนำเหล่าNephalem เข้าสู่สงคราม เมื่อความเห็นไม่ตรงกันจากคู่รักก็กลายเป็นคู่แค้น Inarius และ Lilith เข้าห่ำหั่นกันการต่อสู่นั้นจบลงที่ความพ่ายแพ้ของ Lilith และ Inarius เข้าใจว่าอดีตคนรักของตนนั้นได้ตายไปแล้ว....


          หลังจบการต่อสู้ Inarius คิดว่า หากปล่อยไว้แบบนี้เหล่า Nephalem ย่อมต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและอาจ เกิดปัญหาภายหลัง จึงได้ทำการทำให้ World Stone นั้นมีพลังที่จะทำให้เหล่า ลูกหลานของ Nephalem ที่จะเกิดออกมาในแต่ละรุ่น มีพลังลดลง และตามสังหารเหล่า Nephalem รุ่นแรกที่มีพลังทั้งหลายซะ รวมถึงบุตรชายแท้ๆของ ตน Rathma หลังจากนั้นเหล่าบุตรหลานของ Nephalem ก็ใช้ชีวิตอยู่ใน Sanctuary อย่างสงบสุขโดยไม่รู้ถึงอดีตและชาติกำเนิดของตนเองและเรียกตัวเองว่า มนุษย์......นั่นเอง

          กาลเวลาผ่านพ้นไปเหล่าเทวทูตและปีศาจทั้งหลายหายไปจากหน้า ประวัติศาสตร์ของมนุษย์
          วันหนึ่ง.. Uldyssian ชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าสังหารสมาชิกของ Cathedral of Light (Cathedral of Light คือลัทธิซึ่งบูชา Inarius และ Inarius เป็นผู้ก่อตั้ง) หลังจากนั้น Uldyssian ได้ค้นพบพลังของตัวเองพลังซึ่งไม่ควรจะมีอยู่ในมนุษย์ธรรมดาและนี่คือจุด เริ่มต้นของมหาสงครามแห่งบาป สงครามซึ่งจะเปลี่ยนแปลง ทั้ง สวรรค์ นรก และ โลกแห่ง Sanctuary ไปตลอดกาล... โปรดติดตามตอนต่อไป

          Comment


          • #6
            บทที่ 3 เริ่มต้นมหาสงครามแห่งบาป มหาลัทธิที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองและเหล่าปีศาจในความมืด

            ณ ตอนนั้นเองบนโลกมนุษย์นั้นได้เกิดการก่อตั้งของลัทธิขึ้นมาสองลัทธิ ลัทธิแรกก็คือ Cathedral of Light มีผู้นำคือ the prophet บูชาเทวทูต Inarius และอีกลัทธิหนึ่งก็คือ Church of Triune ซึ่งสอนเหล่าผู้รับถือเกี่ยวกับมหาวิญญาณอันยิ่งใหญ่ทั้ง 3 อันได้แก่ Mefis, Dialon and Bala เมฟิส ดีอาลอน และ บาลา
            (แน่นอนครับไอ้3ตัวนี้ก็คือ mephisto Diablo และก็ Baal นั่นเอง) มีผู้นำลัทธิคือ Primus เป็นที่แนวนอนครับเมื่อแนวคิดแล้วความเชื่อไม่ตรงกันความขัดแย้งย่อมเกิด ขึ้น (เหมือนการเมืองประเทศอะไรไม่รู้นะครับ)
            ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ชอบหน้ากันเกิดเรื่องราวความขัดแย้งอยู่เสมอ และในตอนนั้นเอง Uldyssian ชายหนุ่มชาวนาธรรมดาผู้ซึ่งไม่มีอะไรพิเศษใช้ชีวิตอยู่กับพี่ชายของตนอย่าง สงบสุขไปวันๆ ถูกกล่าวว่าได้ทำการฆาตกรรมสองรายอย่างโหด*****มระหว่างการหลบหนีและการพจญ ภัยของ Uldyssian ชายหนุ่มได้ค้นพบพลังพิเศษในตัวเอง และได้สอนให้ผู้ติดตามอีกจำนวนหลายร้อยปลดปล่อยพลังพิเศษออกมาพลังซึ่ง มนุษย์ไม่เคยจินตนาการถึง

            พลังซึ่งครั้งหนึ่งถูกหวาดกลัวโดยเทวทูตและเหล่าปีศาจ เหล่าผู้ติดตามนั้นนับถือ Uldyssian อย่างหมดหัวใจและไร้ข้อกังขาในฐานะผู้นำและอาจารย์

            หลังจากนั้น Uldyssian ค้นพบความจริงของตนเองว่า Lilith นั้นยังไม่ตายและได้เฝ้าดู Uldyssian มาโดยตลอดและได้เลือกปลดปล่อยพลังของ Uldyssian เนื่องจาก Uldyssian เป็นผู้มีความสามารถแฝงอยู่ในกายนั่นเองทำให้ Uldyssian สามารถใช้พลังได้ และ Primus ผู้นำลัทธิ Church of Triune นั้นแท้จริงแล้วก็คือ Lucion บุตรชายของ Mephisto นั่นเอง ส่วน the prophet ผู้นำแห่ง Cathedral of Light ก็คือ Inarius ในร่างมนุษย์นั่นเอง..... Uldyssian ในตอนนี้ถูกตามล่าโดยทั้งฝ่าย Church of Triune และ Cathedral of Light เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต้องการที่จะครอบครองพลังของ Uldyssian ไม่ก็พยายามที่จะทำลาย Uldyssian เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถครอบครอง Uldyssian ได้นั้นย่อมต้องเป็นผู้ชนะในสงครามระหว่างนรกและสวรรค์อย่างแน่นอน.....

            Uldyssian ได้คิดนำเหล่าผู้ติดตามเข้าทำลายลัทธิ Church of Triune โดยการช่วยเหลือลับๆของ Inarius โดยที่ Uldyssian นั้นไม่รู้หรือสงสัย Inarius นั้นต้องการฟื้นฟู Sanctuary ให้กลับสู่ยุครุ่งเรืองและตนเองจะได้เป็นใหญ่เพียงผู้เดียวอีกครั้ง
            จึงหลอกใช้ Uldyssian ให้ต่อสู้กับทั้งสอง ลัทธิใหญ่ แต่ก็มีอีกผู้หนึ่งในสงครามครั้งนี้ Lilith อดีตคนรักของ Inarius ซึ่งอดทนรอคอยมายาวนานอย่างลับๆในความมืด ได้เริ่มลงมือเพื่อ ที่จะล่อลวงและใช้ Uldyssian เป็นหมาก หมากที่จะเปลี่ยนเหล่ามนุษย์ทั้งหลายให้กลายเป็นกองทัพแห่ง Nephalem สิ่งมีชีวิตที่ทรงอำนาจและแม้แต่สวรรค์หรือนรกก็ต้องหวั่นเกรง เพื่อที่จะทำให้ตัว Lilith นั้นเป็นผู้ปกครองอยู่เหนือทุกสิ่ง...........โปรดติดดามตอนต่อไป




            บทที่ 4 การล่มสลายแห่งลัทธิมาร มังกรยักษ์ Trag’oul และ บุตรแห่ง Inarius

            Uldyssian นำทัพผู้ติดตาม...ออกเดินทางสู่เมือง Toraja สถานที่ตั้งของ Church of Triune และเข้าโจมตี วิหารของลัทธิ ณ ที่นี้เอง Lilith ได้ปรากฏตัวออกมาและบอกแก่ Uldyssian ว่าต้องการให้ Uldyssian ทำลายวิหารนี้ซะ


            ในตอนนั้น Rathma บุตร Lilith และ Inarius ได้ติดต่อกับ Trag’oul มังกรยักษ์ (สถานที่ตั้งบนโลกนี้นั้นอยู่บนหลังของมังกรตนนี้ คิดดูละกันว่าจะตัวใหญ่แค่ไหน 555) Rathma นั้นต้องการเข้ามามีบทบาทในสงครามครั้งนี้หลังจากหลบซ่อนตัวเป็นเวลานานจน Lilith และ Inarius คิดว่า Rathma ตายไปนานแล้ว Rathma จำเป็นต้องเปิดเผยตัวออกมา....(Rathma นั้นจะว่าเป็น Necromancer คนแรกก็ว่าได้และก็เป็นอาจารย์ของเหล่า Necromancer ต่อมาด้วย)


            ขณะเดียวกันที่วิหาร Uldyssian ได้กลับมารวมกลุ่มกับพวกและหนีออกจากวิหาร(ตอนนี้พี่ Uldyssian จะโชว์เทพด้วยการใช้พลังหยุดวิหารที่กำลังถล่มจนเพื่อนๆหนีออกมาได้ทั้งหมด - -“ โคตรเว่ออ่ะ ไอ้นี่มันไม่ใช่คนแล้ว) หลังจากนั้น Uldyssian จะขู่สภาอาวุโสของเมือง Toraja ว่าหากมีการก่อตั้งวิหารและลัทธิ Church of Triune ขึ้นมาใหม่ Uldyssian และพรรคพวกจะกลับมาเยี่ยม Toraja อีกครั้ง.........

            ขณะเดียวกัน Inarius นั้นตอนนี้ไม่เกรงกลัว สวรรค์อีกต่อไปแล้วเนื่องจากพลังแห่ง World stone และคิดกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง และถึงแม้จะรู้ถึงการกลับมาของ Rathma Inarius ก็ไม่เกรงกลัวผู้ใดอีกต่อไปไม่ว่าจะเป็น Lilith หรือ ลูกชายตนเอง


            ฝ่าย Uldyssian นั้นหลังจากเสร็จศึกก็ตั้งแคมป์อยู่ที่นอกเมือง ในตอนนั้นเองชาวเมืองจำนวนมากเดินทางมาหา Uldyssian เนื่องจากต้องการเรียนรู้ในสิ่งที่ Uldyssian สอนและหวังในพลัง.....หลังจากที่ Uldyssian แน่ใจว่าผู้ติดตามกลุ่มใหม่เข้าใจในสิ่งที่ตนจะสอนอย่างชัดเจนแล้ว เหล่าผู้ติดตามทั้งหมดของ Uldyssian ก็ตั้งชื่อใหม่ให้แก่ตนเองว่า "Edyrem" แปลว่า เหล่าผู้ได้เห็นแล้ว นั่นเอง...


            ในช่วงนี้ Serenthia สมาชิกสาวของ Uldyssian ออกไปตักน้ำคนเดียวและ ถูก Lilith เข้าสิง และหลังจากนั้น Mendeln (พี่ชายของ Uldyssian ) ก็ได้พบกับ Rathma และถูก Rathma พาตัวไป....และได้พบกับ Trag’oul


            Trag’oul และ Rathma เล่าเรื่องราวทั้งหมด Mendeln ฟัง ตั้งแต่การกำเนิดโลก เรื่องที่มนุษย์ก็คือบุตรหลานของ Nephalem และมีเชื้อสายมาจาก เทวทูตและปีศาจ Trag’oul บอกว่าหากเหล่าเทวทูตและปีศาจค้นพบ Sanctuary ต้องเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นบนโลกอย่างแน่นอนสงครามซึ่งจะทำให้ Sanctuary ถูกทำลายลงอย่างแน่นอน........

            Mendeln ได้พาตัว Uldyssian มาหา Trag’oul และ Rathma และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแต่ Uldyssian โกรธ Rathma และคิดว่า Rathma นั้นครอบงำ Mendeln Uldyssian จึงใช้พลังของตนหนีออกมา Uldyssian มาโพล่ที่ mount Arreat (ที่ๆ World Stone อยู่ในภาค LOD) Rathma ตามมาและพา Uldyssian ไปยัง World Stone ที่นั่นเอง Uldyssian พยายามที่จะใช้ World Stone เพื่อเพิ่มพลังให้แก่เหล่าพวกพ้อง แต่ผลจบลงที่ Uldyssian ได้เปลี่ยนโครงสร้างของ World Stone ไป.......


            ระหว่างการเดินทางกลับไปหา Trag’oul Uldyssian ได้รู้ว่า Inarius กำลังเดินทางไปที่ World Stone Uldyssian กลับไปหาพวกพ้องและได้เจอกับ Lilith ทั้งคู่จึงไปยัง world stone เพื่อต่อสู่กับ inarius Inarius เอาชนะทั้งคู่อย่าง่ายดาย และเข้าไปสำรวจ World Stone และได้ค้นพบว่า โครงสร้างของ World Stone ได้เปลี่ยนไปแล้วและได้บอกว่า Uldyssian ได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์แล้วตอนนี้ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก Inarius จึงตัดสินใจที่จะทำลาย Sanctuary และค่อยสร้าง Sanctuary แห่งใหม่อีกครั้ง.......

            Comment


            • #7
              บทที่ 5 สงครามครั้งใหญ่ของเหล่า Edyrem และ ชะตากรรมของ Lilith

              หลังจากนั้น Lilith ได้พยายามที่จะเข้าครอบงำ เหล่า Edyrem โดยการล่อลวง(อ่อย) พวกพ้องคนหนึ่งของ Uldyssian ที่ชื่อ Romus ให้ทรยศ Uldyssian และก็สังหาร Romus ทิ้ง ในขณะที่ Uldyssian กำลังจะถูกสังหารและบูชายัญไปพร้อมกับเหล่าผู้ติดตามของ lilithเพื่อใช้ครองงำเหล่า Edyrem Archilios ก็โพล่มาช่วยเหลือ Uldyssian ไว้ได้ทัน (เอ่อ...ผมลืมเล่าถึง นาย Achilios เดี๋ยวเพื่อนจะงงว่าเป็นใคร เอาสั้นๆว่าเป็นมือธนูฝีมือร้ายกาจที่ตายไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง โดย Rathma เป็นถึงจะเป็นผีก็เป็นฝ่ายพระเอกนะครับ) และได้ปลดปล่อย Serenthia จากการครอบงำของ Lilith Lilith หลบหนีไป...

              จากนั้น Uldyssian พยายามจะช่วยเหลือเหล่าผู้ถูกครอบงำโดย Lilith โดยการพยายามถอนคำสาปแต่ก็จำใจต้องสังหารผู้คนเหล่านั้นทิ้งเนื่องจาก เริ่มจะกลายร่างเป็นปีศาจและไม่สามารถช่วยเหลือได้ Uldyssian สาบานว่า Lilith ต้องชดใช้หนี้เลือดครั้งนี้ อย่างแน่นอน..........

              ตัดมาที่ Rathma Mendeln และมังกร Trag’oul ทั้งสองสอน Mendeln ถึงศาสตร์ในการปลุกวิญญาณ (Necromancer คนแรกของโลกถือกำเนิด……) Mendeln ได้ปลุกวิญญาณ High Priest Malic ขึ้นมา และเสนอว่าจะล้างแค้น Lilith ให้แลกกับข้อมูลของ วิหารหลัก

              ตัดมาที่เหล่า Edyrem กองทัพของ Lilith และเหล่า Edyrem เข้าทำการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง Lilith ได้เรียก Thonos ปีศาจหนวดที่โจมตีจากใต้ดินได้เข้าทำการต่อสู้กับ Edyrem ในขณะที่เหล่า Edyrem กำลังจะเพลี้ยงพล้ำ Achilios ก็โพล่มา(อีกแล้วววว ตลอดดด) พร้อมกับลูกธนูที่ยิงไปแล้วระเบิดได้ (คุ้นๆป่าวครับ) หลังจากเห็นว่า Thonos อย่างเดียวจะเอาไม่อยู่ Lilith ก็ใช้เวทย์ปลุกเหล่าคนตายจากทั้งสองฝ่ายเข้าสังหารเหล่า Edyrem ในขณะที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่ Mendeln ก็โพล่มา (อีกแล้ววว) ด้วยทักษะแห่ง Necromancer เหล่ากองทัพคนตายย่อมไม่มีความหมายต่อ Mendeln พี่แกทำลายเรียบ ตอนนั้นเอง Uldyssian ได้เกิดอุบัติเหตุ Summon Lilith ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ Lilith จึงพา Uldyssian teleports ไปยังวิหารหลัก และก็มาถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่าง Lilith และ Uldyssian…..

              Uldyssian สามารถเอาชนะ Lilith พร้อมกับถล่มวิหารหลักลงมา ก่อนจะทิ้ง Lilith ที่บาดเจ็บใกล้ตายไว้ ท่ามกลางวิหารที่กำลังถล่ม......

              Rathma มาถึงวิหารหลักและได้พบกับ ศพของ Lilith Rathma อำลาแม่สุดที่รักของตนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไป....แต่ว่า....จริงๆแล้ว ที่ Rathma เห็นคือภาพลวงตาที่ Inarius สร้างขึ้น Inarius เผยตัวออกมาแน่นอนครับไม่ใช่เพราะต้องการช่วยเหลือ Lilith อย่างแน่นอน Inarius บอก Lilith ว่าตนได้เพิ่มพลังแก่ World Stone เพื่อให้เหล่า Edyrem สามารถเอาชนะ Lilith ได้ Inarius ไม่ต้องเปลืองแรงออกตามล่า Lilith ด้วยตนเอง Inarius ได้ใช้พลังกัก Lilith ไว้.... Inarius บอกแก่ Lilith ว่า Lilith ถือว่าโชคดีแล้วถ้าเทียบกับชะตากรรมที่ Uldyssian และเหล่า Edyrem จะต้องเพชิญ....ก่อนจะทำการส่ง Lilith ไปยังมิติแห่งความมืด......ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและมืดมิดไปตลอดกาล .......




              บทที่ 6 สงครามครั้งสุดท้าย…สัญญาของปีศาจและเทวทูต และอนาคตแห่ง Sanctuary


              หลังจาก Uldyssian เอาชนะ Lilith ได้แล้ว Uldyssian ก็ต้องการเปิดสงครามกับ Inarius และเหล่า Cathedral of Light Uldyssian จึงได้เดินทางไปยัง เมือง Kehjan เพื่อขอความช่วยเหลือจากเหล่าสมาคมจอมเวทย์ ณ จุดนี้ Uldyssian มีเหล่า edyram ติดตามเกือบถึง 1000 คนแล้ว และกำลังนำเหล่าผู้ติดตามเดินทางไปยังเมือง Kehjan ระหว่างการเดินทาง Rathma ก็สอน mendeln ถึงศาสย์แห่ง Necromancer และสอนให้ Mendeln สามารถเรียกวิญญาณไว้คอยช่วยเหลือและสืบหาข่าวให้ได้


              ขณะกำลังเดินทางเหล่า Edyram ได้พบกะ คณะคาราวานพ่อค้าผู้ทรงอำนาจและตัดสินใจจะอาศัยเหล่าพ่อค้าเพื่อเป็นช่องทาง ให้ได้พบกับเหล่า สมาคมจอมเวทย์ Uldyssian ตัดสินใจเดินทางไปกับเหล่าพ่อค้าเพียงลำพัง.......

              ระหว่างการเดินทางคณะพ่อค้าถูกโจมตีโดยจอมเวทย์และถูกสังหารเหลือแต่ Uldyssian ที่ถูกจับและนำตัวไปยังรังลับใต้เมือง Kehjan จอมเวทย์ที่จับตัว Uldyssian ต้องการใส่ร้ายว่า Uldyssian เป็นผู้สังหารเหล่าพ่อค้า จอมเวทย์ได้ทิ้ง Uldyssian ไว้กับลูกน้องของตนและออกไปเพื่อประชุมกับเหล่าสมาคม ลูกน้องของจอมเวทย์นั้นแท้จริงแล้วก็ อสูร Malic ที่ Uldyssian คิดว่าตนได้กำจัดไปแล้วตอนเข้าโจมตี Church of Triune Malic รอดชีวิตมาได้เพราะมีเศษของ World stone อยู่จึงสามารถเข้าสิงร่างใหม่ได้ และได้ใช้ร่างใหม่ดำเนินแผนการช่วยเหลือจอมเวทย์ที่เจ้าโจมตี Uldyssian และเพื่อให้ได้โอกาสที่ Malic จะสามารถหาร่างที่ทรงพลังได้ร่างของ Uldyssian...

              จอมเวทย์ที่เข้าโจมตี Uldyssian ถูกสอบสวนโดยเหล่าผู้อาวุโสของสมาคมเนื่องจากตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วน เกี่ยวข้องในการสังหารเหล่า พ่อค้า ตอนนั้นเองที่เกิดเสียงระเบิดและตึกก็สั่นไหว เมื่อจอมเวทย์มาถึง Uldyssian ได้หายไปแล้ว ลูกน้องของจอมเวทย์ตาย และจอมเวทย์คนนั้นก็ถูก Malic เข้าสิง


              Uldyssian วิ่งหนีไปตามท้องถนนและได้พบกับ เจ้าชาย Ehmad Uldyssian เล่าเรื่องทุกอย่างให้เจ้าชายฟังเชื่อคำพูดของ Uldyssian และสัญญาว่าจะหาทางให้ Uldyssian ได้พบกับเหล่าสมาคมจอมเวทย์ ในตอนนั้น Inarius ก็เริ่มแผนการให้เหล่าสาวกกระจายข่าวลือไปทั่วแผ่นดินว่า Uldyssian และเหล่า Edyrem ว่าเป็นต้นเหตุของความตายและเรื่องวุ่นวายทั่วแผ่นดิน

              Inarius ได้เข้าโจมตี Uldyssian ทางจิตเพื่อทำให้ Uldyssian อ่อนแอ ทั้งสองเข้าต่อสู่กันภายในจิต Uldyssian ถึงแม้จะรู้สึกตัว แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะ Inarius ได้ Uldyssian รู้สึกว่าตนเองอ่อนแอและ Inarius นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก..... แต่ที่จริงแล้ว Inarius บาดเจ็บหนักจากการเข้าสู้กับ Uldyssian ครั้งนี้ Uldyssian นั้นเป็นมากกว่าคนธรรมดา ยิ่งใหญ่และทรงพลังยิ่งนัก มากกว่า เทวทูตหรือปีศาจตนใด.....
              Inarius เริ่มเกรงกลัว Uldyssian และจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัด Uldyssian ถึงแม้ต้องแลกมาด้วย Sanctuary ก็ตาม......

              ตอนนี้นั้น Trag’oul ไม่สามารถอำพราง โลก Sanctuary ต่อเหล่าเทวทูตได้อีกต่อไป... และเหล่า Edyrem ก็ได้เคลื่อนทัพไปยัง Cathedral of light ทางตอนเหนือที่***งไกล และเข้าต่อสู่กับเหล่าสมาชิกของ Cathedral of light ที่ Inarius ได้ให้พลังไว้ และ Inarius และ Uldyssian ก็เข้าต่อสู้กันเมื่อผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกทั้งสองห่ำหั่นกัน ทั่วทั้งโลกก็ยังต้องสั่นสะเทือนเพราะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้.....


              เมื่อการต่อสู้ใกล้จะจบลง....อันตรายใหม่ก็เข้าจู่โจม เหล่าเทวทูตหลายพันปรากฏกายบนท้องฟ้า......Edyrem ต่อสู้กับเหล่า เทวทูตอย่างกล้าหาญ แต่แล้ว...อันตรายสุดท้ายก็เผยตัว....ประตูนรกถูกเปิดและเหล่าปีศาจจากนรกก็ เข้าร่วมสงครามครั้งนี้......เหล่าปีศาจ Edyrem nephalem และเหล่า เทวทูต เข้าสู่สงครามครั้งสุดท้าย.......สงครามที่จะกำหนดอนาคตของโลก....และมี เพียงผู้เดียวที่จะหยุดสงครามครั้งนี้ได้....มนุษย์เพียงคนเดียว

              Uldyssian เอาชนะและจับตัว Inarius มาให้แก่เหล่าเทวทูตชั้นสูง ทั้ง 5 เหล่าเทวทูตทั้ง 5 ทำการโหวจเพื่อตัดสินอนาคตของ Sanctuary ผลโหวตสุดท้ายอยู่ที่ Tyreal และ Tyreal ตัดสินให้ Sanctuary คงอยู่ต่อไปและไม่ถูกทำลาย แต่จะลบความทรงจำของเหล่ามนุษย์ทิ้งทั้งหมด ตอนนั้นเอง Mephisto ก็ปรากฏตัวออกมาเพื่อยื่นข้อเสนอ....ข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธ Mephisto ให้สัญญาว่าจะไม่โจมตี Sanctuary หากมีของแลกเปลี่ยนบางอย่าง ของสิ่งนั้นคือ Inarius Mephisto ต้องการนำ Inarius กลับไปยังนรกด้วย...เหล่าเทวทูตตกลง...เมื่อ Mephisto ลาก Inarius กลับไปยังนรกที่ซึ่ง Inarius ต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดกาล สันติสุขและความสงบก็มาเยือน Sanctuary…………ชั่วคราว

              (ตอนนี้จะเล่าถึง Inarius ใครไม่ชอบความรุนแรงก็อย่าอ่านนะ เหอะๆๆ Inarius ถูก Mephisto กระชากปีกทิ้ง ถูกทำลายใบหน้าอันหล่อเหลา ถูกถลกหนัง และสุดท้ายเพื่อความสะใจ Mephisto เฉือนหนังตาของ Inarius ทิ้งไม่ให้สามารถหลับตาได้ และใช้โซ่เกี่ยวตรึง Inarius ไว้หน้ากระจกขนาดใหญ่ให้มองดูใบหน้าของตนเอง และขังไว้ในChamber of mirror ไปตลอดกาล)...........

              จบลงไปแล้วกับเรื่องราว ใน The Sin War เดี๋ยวดูก่อนว่าจะหยิบเอาเนื้อเรื่องตอนไหนมาเล่าต่อดีขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ

              Comment


              • #8
                บทที่ 7 สงครามของเหล่าปีศาจ และบัลลังค์จอมราชันแห่งนรก...ที่ว่างเปล่า


                เมื่อ 3 จอมปีศาจล่วงรู้ถึงความสำคัญของ world stone และคิดตรงกันแล้วว่า world stone และ sanctuary นั้นจะเป็นตัวแปรสำคัญในการได้มาซึ่งชัยชนะต่อเหล่าเทวทูต.....ทั้ง 3 จึงเริ่มวางแผนการ...แผนการซึ่งมีเดิมพันที่สูงยิ่ง...แผนการเพื่อให้ได้มา ซึ่งขุมพลังอันยิ่งใหญ่.....


                ถึงแม้เหล่า 3 จอมปีศาจจะมีความเห็นที่ตรงกันแต่เหล่าปีศาจชั้นปกครองที่เหลือมิได้เห็น ด้วยกับความคิดนี้...เหล่าปีศาจที่เหลือกลับคิดว่าควรจะพุ่งความสนใจไปกับ การทำสงครามกับเหล่าเทพมากกว่า.....และไม่นานก็เริ่มมีความคิดในเหล่าปีศาจ ว่า 3 จอมปีศาจเกรงกลัวที่จะทำสงครามต่อไป....



                Azmodan และ Belial เล็งเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่จะกำจัด 3 จอมปีศาจทิ้งและขึ้นมาปกครองนรกแทน ทั้ง2ทำสัญญาตกลงกับเหล่าปีศาจที่เหลือ...เกลี่ยวกล่อมเหล่าปีศาจทั้งหลาย ว่าความหายนะของเหล่ามนุษย์นั้นมิสามารถทำให้เหล่าปีศาจเอาชนะเทวทูตได้... Azmodan และ Belial วางแผนที่จะก่อสงครามครั้งใหญ่สงครามขั้นเด็ดขาดกับเหล่า เทวทูต....แต่ก่อนอื่นนั้นพวกเขาต้องจัดการกับ ทั้ง 3 พี่น้องจอมปีศาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนรกเสียก่อน......


                เหตุการณ์ครั้งนี้นำไปสู่การก่อกบฎและสงครามในนรก...สงครามระหว่างเหล่า ปีศาจทั้งนรก...กับ 3 จอมปีศาจ ทั้ง 3 ต่อสู่กับเหล่ากองกำลังปีศาจมากมาย........เป็นหายนะครั้งใหญ่ในนรก เหล่าปีศาจล้มตายไปจำนวนมากและสุดท้าย...น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ...ทั้งอ่อนแรง และไร้กำลัง...ทั้ง 3 ถูกขับไล่ไปยัง Sanctuary….และนี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะบนโลก....


                Azmodan นั้นหวังให้ทั้ง 3 ติดอยู่ในโลกมนุษย์ไปตลอดกาล...และยังเชื่อด้วยว่าเมื่อทั้ง3อยู่บนโลกแล้ว เหล่าเทวทูตจะต้อง มุ่งความสนใจไปที่โลกมนุษย์ซึ่งจะทำให้การป้องกันของสวรรค์นั้นถูกละเลยและ สามารถเข้าโจมตีสวรรค์ได้ง่ายดาย...เหล่าปีศาจที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อ 3 จอมปีศาจถูกขับไล่และหลบหนีไปยังบนโลกออกตามหาเจ้านายของตน...


                ท่ามกลางเปลวเพลิงและเศษซากจากการทำศึกกับทั้ง 3 จอมปีศาจ.....Azmodan และ Belial เริ่มถกเถียงว่าใครจะเป็นผู้ปกครองสูงสุดของนรก...ข้อตกลงและสัญญาทั้งหมด ถูกลืม...และสุดท้ายทั้งสอง...นำกองทัพปีศาจเข้าต่อสู้กันเพื่ออำนาจสูงสุด ในนรก...สงครามในนรกเกิดขึ้นเกือบจะทันทีหลังจากสงครามครั้งแรกจบลง..แต่ สงครามครั้งนี้ยังไม่มีผู้ชนะจวบจนทุกวันนี้...บัลลังค์ของราชาแห่งนรกยังคง ว่างเปล่าไร้ผู้ครอบครอง...รอคอยเจ้าของที่แท้จริงปรากฎตัวอีกครั้ง



                บทที่ 8 กำเนิดเหล่าจอมเวทย์ Horadrim..และเทวทูตทรงธรรมผู้โดดเดี่ยว


                เมื่อ 3 พี่น้องถูกเนรเทศลงมายังโลก แทนที่เหล่าเทวทูตจะลงมาสนใจ Sanctuary อย่างที่ Azmodan และ Belial คาดหวัง....แต่เหตุการณ์กับไม่เป็นไปดังคาด....เหล่าเทวทูตไม่ได้คิดจะมาสนใจเหลียวแลเหล่ามนุษย์แม้แต่น้อย...ตามข้อตกลงของเหล่าเทวทูตแล้วจะไม่มีเทวทูตตนใดก้าวก่ายเรื่องบนโลกโดยเด็ดขาด...

                แต่ว่าในความคิดของ Tyreal แล้วหากตนเองไม่ช่วยเหลือทั้งสวรรค์และโลกจะต้องพบจุดจบโดยน้ำมือ 3 พี่น้องแน่นอน


                ...Tyreal ตัดสินใจขัดคำสั่งของสวรรค์ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ โดยเป็นผู้สร้าง soul stone ที่ใช้กักขังทั้งสามพี่น้อง และ Tyreal ตัดสินใจก่อตั้งสมาคมจอมเวทย์ Horadrim โดยการรวบรวม 3 สมาคมเวทย์ใหญ่จากทางตะวันออก และมอบหมายหน้าที่ในการกักขัง 3 พี่น้องให้กับเหล่าจอมเวทย์....


                การตัดสินใจช่วยเหลือมนุษย์ครั้งนี้ของ Tyreal ส่งผลให้เทวทูตผู้ทรงธรรมต้องถูกขับไล่ออกจากสวรรค์...(จริงๆแล้วในช่วงแรกหรือช่วงสงคราม sin war นั้น Tyreal นั้นรังเกียจและต้องการจะทำลายมนุษย์เพราะคิดว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายเนื่องจากมีสายเลือดปีศาจไหลเวียนอยู่ในกายครึ่งหนึ่ง....แต่ท้ายที่สุดในตอนจบของสงคราม Uldyssian นั้นเสียสละตนเองเพื่อช่วยเหลือเหล่าเพื่อนพ้อง คนที่ตนรัก และ Sanctuary ไว้ ทำให้ Tyreal เปลี่ยนทัศนะที่มีต่อมนุษย์ใหม่เพราะมีมนุษย์ผู้หนึ่งเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ให้ Tyreal ได้เห็น)


                และเนื่องจากความทรงจำของเหล่ามนุษย์ที่ถูกลบไปแล้วในตอนจบสงคราม sin war ทำให้ไม่มีใครล่วงรู้ถึงใบหน้าที่แท้จริงของจอมเทพองค์นี้....


                เหล่าจอมเวทย์แห่ง Horadrim ออกตามล่า 3 พี่น้องจอมปีศาจอย่างไม่ลดละในที่สุด Mephisto ก็ถูกปราบและผนึกไว้เป็นรายแรก Soul Stone ของ Mephisto ถูกผนึกไว้ใต้วิหารแห่งแสงที่เมือง kurast โดยมีเหล่า นักบวชแห่ง Zakarum คอยดูแลรักษา..


                Diablo และ Baal หนีไปทางตะวันตก จนกระทั่ง baal ไปถึงเมือง Lut gholein Baal เข้าโจมตีเมืองหลายวันติดต่อกันจนในที่สุด เหล่า Horadrim ก็ตามมาถึงและเข้าต่อสู่กับ Baal ระหว่างการต่อสู่ Baal ได้ทำลาย Soul Stone ที่จะใช้กักขังตนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย...ก่อนจะถูกปราบสำเร็จ Tal rasha หนึ่งในจอมเวทย์ผู้เก่งกาจกักขัง Baal ลงใน Soul stone และพบว่า Soul Stone ชิ้นเล็กนั้นไม่สามารถกักขัง Baal ไว้ได้ Tal rasha ตัดสินใจใช้ร่างกายและวิญญาณของตนเป็นตัวช่วยผนึกวิญญาณ Baal ก่อนจะผนึกร่างตนไว้ใต้วิหารลับปิดผนึกและสร้างวิหารลวงขึ้นมาอีก 6 แห่ง รวมเป็น 7 วิหาร Tal rasha ทนทุกข์ทรมานใช้ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของตนต่อสู้กับ Baal ภายในจิตใจตลอดกาล...


                Jered cain หนึ่งในจอมเวทย์ Horadrim นำพาเหล่าจอมเวทย์ที่เหลือออกตามล่า Diablo ไปทางตะวันตก...Diablo ทิ้งปีศาจร้ายทั้งหลายไว้ขัดขวางเป็นระยะๆ จนในที่สุดในศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายเหล่าจอมเวทย์ก็สามารถเอาขนะ Diablo และ กักขัง Diablo ได้สำเร็จ ก่อนจะนำ Soul stone ของจอมปีศาจไปซ่อนไว้ภายในเขาวงกตขนาดใหญ่ภายใต้โบสถ์แห่ง เมือง Tristram ……. Jered cain คอยอยู่เฝ้าดูแลเมือง Tristram สืบต่อมา......


                กาลเวลาผ่านไปผู้คนลืมเลือน...เหล่าจอมเวทย์แห่ง Horadrim สูญหาย เรื่องเหล่าของ 3 จอมปีศาจร้ายแห่งนรกกลายเป็นเหมือนนิทาน ไว้ขู่เด็กดื้อให้เข้านอน....คงเหลือเพียง Horadrim คนสุดท้าย...เพียงผู้สุดท้ายที่ยังคงเก็บรักษาความรู้เมื่อครั้งอดีตกาล....ผู้สุดท้ายของสมาคมที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร....นามนั้นคือ Deckard Cain ผู้สืบเชื้อสายของ Jered Cain …….



                Next Chapter…. เหล่านักบวชผู้ถูกครอบงำ...การกลับมาของจอมปีศาจแห่งนรก...



                (ขอหยุดเนื้อเรื่องหลักไว้สักพักนะครับ ขอเล่าเรื่องราวย่อยๆให้ได้ทราบถึงความเป็นไปใน Sanctuary ก่อน)

                Comment


                • #9
                  Chapter 9 เหล่านักบวชผู้ถูกครอบงำ...การกลับมาของจอมปีศาจแห่งนรก…และการกำเนิดของเหล่านักรบแห่งแสง



                  ไม่นานนักในที่สุด Mephisto ก็สามารถเอาชนะพลังของ Soul Stone และเริ่มครอบงำเหล่านักบวชแห่ง Zakarum ในที่สุดเหล่า Zakarum ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของ Mephisto .... แต่มีเพียงผู้เดียวที่มิได้ตกอยู่ใต้อำนาจของ Mephsito นักบวชสูงสุด หัวหน้าศาสนา Zakarum ในตอนนั้นนามว่า Khalim Mephisto จึงสั่งให้เหล่านักบวชที่เหลือฆ่าและแยกร่าง Khalim ออกนำชิ้นส่วนออกไปกระจายทั่วทั้ง Kurast …..(ก่อนที่ Hero จาก Diablo 2 จะมาตามเก็บเพื่อสร้างอาวุธไปทำลาย compelling orb และเปิดทางไปหา Mephisto )



                  ก่อนที่ Mephisto จะสั่งให้เหล่านักบวชทำลายและแยก Soul Stone ของตนเอง ออกเป็น 7 ชิ้น 6 ชิ้น ไว้ในมือซ้ายของเหล่านักบวชขั้นสูงทั้ง 6 คน และชิ้นที่ใหญ่ที่สุดให้ Sankekur ผู้นำสูงสุดคนใหม่แทนที่ Khalim และใช้เป็นร่างของ Mephisto เอง Mephisto สั่งให้เหล่านักบวชสร้าง Compelling orb เพื่อกระจายพลังอำนาจของตนออกไปทั่วทั้ง Kurast เป็นเวลาหลายปี ที่ Mephisto ใช้เหล่านักบวชทั้งหลายเป็นฐานพลังอำนาจของตน สั่งให้มีการ บูชายัญมนุษย์ และใช้ฐานอำนาจของ Zakarum ในการหาข้อมูลข่าวสารที่ตนเองต้องการ......ในที่สุดเจ้าแห่งความเกลียดชัง...ผู้อาวุโสแห่ง3จอมปีศาจจากนรก....กลับมาบนโลก...อีกครั้ง



                  ในช่วงเวลานี้นั้นเอง...เหล่า Hand of Zakarum (เหล่าพาลาดินของซาคาลุม) เริ่มเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆของศาสนาแห่งแสง...พาลาดินจำนวนหนึ่งตัดสินใจ..ออกเดินทางไปยังดินแดนตะวันตก...มุ่งสู่ Westmarch..ที่ซึ่งตนสามารถช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์โดยไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่น....เหล่าพาลาดินกลุ่มนี้เรียกตนเองว่า Knight of Westmarch ทำหน้าที่ต่อสู้กับปีศาจร้ายและเหล่าโจร ช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ เป็นเหล่านักรบแห่งแสงที่แท้จริง...(Tip. Paladin ใน Diablo 2 อยู่ในกลุ่มนี้นะครับ)



                  ทางด้าน Mephisto ในที่สุดก็ครอบงำเหล่านักบวชและประชาชนที่อยู่อาศัยรอบๆ วิหารแห่งแสงได้สำเร็จ...ในไม่ช้า Mephisto ได้ส่งลูกน้องที่เชื่อใจที่สุด...หัวหน้าบาทหลวง Lazarus ไปยังป่าที่ Tristram เพื่อปลดปล่อย Diablo โดยส่งไปในนามทูตจาก Zakarum ไปหาราชา Leoric ในที่สุดวิหารแห่งแสงที่เคยยิ่งใหญ่รุ่งเรืองในอดีตก็ถูกกล่าวขานในชื่อใหม่...วิหารแห่งความมืด...เหล่าผู้นับถือศาสนา Zakarum ที่อยู่อาศัยรอบๆตกอยู่ในความบ้าคลั่ง...ของเจ้าแห่งความเกลียดชัง...ตลอดกาล...

                  Comment


                  • #10
                    บทพิเศษ...... เทวดาตกสวรรค์ ดาบมาร ShadowFang และจุดเริ่มต้นของหายนะครั้งใหม่.......




                    หลังจากสันติสุขใน Sanctuary กลับมาอีกครั้ง ก็เป็นที่แน่นอนครับ คราวนี้เหล่า เทวดาและปีศาจก็กลับมาดำเนินสงครามกันอีก สงครามที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น ทั้งฝ่ายนรกและ สวรรค์นั้นพยายามที่จะหาวิธีเอาชนะอีกฝ่ายให้จนได้ บนสวรรค์นั้นยังมี เทวทูตที่สำคัญอยู่อีกตนหนึ่ง ชื่อว่า Izual Izual นั้นเป็นจอมทัพและนักรบฝีมือฉกาจอีกทั้งเป็นลูกน้องคนสนิทและเพื่อนคนสำคัญ ของ Tyreal ( Tyreal นั้นถึงกับ ตีดาบขึ้นมาเองเพื่อมอบให้กับ Izual ดาบในตำนานเล่มนั้นมีขื่อว่า Azurewrath) หากใครเคยเล่น Diablo 2 คงจะคุ้นเคยกับทั้ง ดาบและ เทวทูตตนนี้นะครับ......


                    ไม่นานนักทางฝ่ายสวรรค์ก็ได้ข่าว ว่าทางฝั่งนรกกำลังเริ่ม ทำการตีดาบมารทรงอาณุภาพ ขึ้นมา 1 เล่ม (Shadowfang) Tyreal นั้นได้ส่ง Izual นำทัพกองทัพเทวทูตบุกไปยังนรก โดยมีเป้าหมายก็คือ หยุดยั้งการสร้าง ดาบมารเล่มนี้ Tyreal นั้นไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลร้ายมหาศาลต่อทั้ง 3 โลก......ตามมา


                    Izual ผู้กล้าหาญสามารถนำทัพเข้าหยุดยั้งการสร้าง Shadowfang ก่อนจะสมบูรณ์ได้สำเร็จ (ในเกม Diablo 2 นั้น Shadowfang สามารถหาพบได้ด้วยนะครับ โดยเป็น unique item ที่มี status ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ) แต่ว่าถึงแม้จะสามารถหยุดยั้งการสร้าง Shadowfang ไว้ได้ แต่ Izual ก็ถูกเข้าโจมตีโดยเหล่าปีศาจจำนวนมหาศาลและไม่สามารถต่อต้านเอาไว้ได้ในที่ สุด..... Izual ก็ถูกจับกุม..........


                    Izual ถูกทรมานอย่างแสนสาหัสจนในที่สุด Izual ก็ต้องจำยอมบอกความลับที่สำคัญแก่เหล่า 3 จอมปีศาจความลับที่เป็นต้นกำเนิดเกม Diablo ให้เราได้เล่นกัน Izual บอกแก่ 3 จอมปีศาจว่า World Stone นั้นสามารถนำมาใช้เพิ่มพลังให้แก่ทั้ง 3 ได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของแผนการ แผนการที่จะทำให้ Sanctuary ต้องตกอยู่ในเปลวเพลิงในสงครามระหว่าง มนุษย์และจอมปีศาจทั้งสาม......สงครามที่จะถูกกล่าวขาญไปอีกยาวนาน......


                    หลังจากที่ Izual ทรยศต่อสวรรค์โดยการบอกความลับแก่เหล่าจอมปีศาจแล้ว Izual ก็ถูกทอดทิ้งจากสวรรค์กลายเป็นปีศาจร้ายเฝ้าวนเวียนอยู่ในนรกอยู่อย่างโดด เดี่ยว ถึงแม้วิญญาณภายในจะยังเป็น Izual จอมทัพแห่งสวรรค์ดังเดิมก็ตาม ......เพราะทั้งสรรค์และเหล่าปีศาจในนรกก็ไม่ถือว่า Izual เป็นพวกเดียวกับตน......Izual วนเวียนอยู่ในนรกอย่างโดดเดี่ยวจนกระทั่ง การมาถึงของผู้กล้าจาก Diablo 2 ผู้กล้าที่จะปลดปล่อยวิญญาณจอมทัพออกจากร่างของปีศาจร้าย.....เพื่อความสงบ ของวิญญาณแห่งอดีตจอมทัพแห่งสวรรค์....ตลอดกาล......










                    บทพิเศษ สงครามของสมาคมเวทย์ และกำเนิดเหล่ามือสังหารในความมืด





                    กาลเวลาล่วงเลยไปบนโลกของ Sanctuary เราผู้คนใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ถึงแม้จะมีสงครามระหว่างชนเผ่า หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่ก็ยัง***งไกลกับสงครามกับเหล่าปีศาจในอดีต.....



                    เกิดการก่อตั้งสมาคมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ในชื่อ Vizjerei เหล่า Vizjerei ศึกษาความรู้ทางด้านอาคมสายต่างๆแสวงหาพลังที่ยิ่งใหญ่รวมถึงความรู้ต่างรอบ โลก Sactuary และภายในสมาคมนี้เองมี จอมเวทย์ผู้อยู่บนจุดสูงสุดอยู่สองคนทั้งสองเป็นพี่น้องกัน หนึ่งนั้นคือ Horazon และอีกหนึ่งคือ Bartuc ........



                    ทั้งสองค้นพบวิธีอัญเชิญเหล่าปีศาจมาจากขุมนรก.......Horazon นั้นเห็นว่าควรจะกักขังเหล่าปีศาจไว้และใช้อำนาจเวทย์เพื่อบังคับให้เหล่า ปีศาจเชื่อฟัง (Mind control) แต่ว่า Bartuc นั้นเริ่มหันเข้าสู่ด้านมืดโดยการศึกษาอาคมด้านมืดของเหล่าปีศาจจนในที่สุด ......Bartuc ก็เข้าสู่ด้านมืดอย่างเต็มตัวและเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพปีศาจแห่งนรก เพื่อให้ได้มาซึ่งพลัง.....พลังซึ่งในที่สุดแล้วย่อมต้องแลกมาด้วยราคาซึ่ง สูงนัก........



                    Bartuc นั้นเริ่มทรงอำนาจขึ้นเรื่อยๆ มากจนกระทั่ง เหล่าปีศาจยังต้องกลัวเกรง และในที่สุด Bartuc ก็คลุ้มคลั่งในที่สุด Bartuc กระหายเลือดเหล่ามนุษย์ และเมื่อถึงเวลาเข้าทำศึก Bartuc จะสังหารศัตรูอย่างโหด*****มก่อนจะชีกร่างศัตรูเป็นชิ้นๆและอาบเลือดของ ศัตรูจนในที่สุด Bartuc ก็ได้สมญาว่า Warlord of Blood ......สมญาซี่ง เป็นที่กลัวเกรงไปทั่วทั้งสนามรบไม่ว่าจะปีศาจหรือมนุษย์.....




                    ในที่สุดศึกสุดท้ายระหว่าง Horazon และ Bartuc ก็มาถึง สงครามครั้งนี้จบลงที่ชัยชนะของ Horazon และเหล่า Vizjerei Horazon แยกหัวและร่างของ Bartuc ออกจากกันก่อนจะผนึกไว้พร้อมกับเกราะของ Bartuc แต่เหล่า จอมเวทก็เสียสละชีวิตไปมากมายเหลือเกิน เหล่า Vizjerai จะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีก จอมเวทย์แบบ Bartuc จะต้องถูกหยุดยั้ง นี่คือจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสมาคมลับ เหล่ามือสังหารผู้เคลื่อนไหวในความมืดคอยสอดส่องดูแลเหล่าจอมเวทย์ ชื่อที่เหล่าจอมเวทย์หวาดกลัว สมาคม Vizjaqtar หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Assasin .......



                    Horazon หายตัวไปไม่มีใครรู้ว่า Horazon หายตัวไปไหน รู้กันแค่ว่า Horazon ถูกตามล่าโดยเหล่าปีศาจ และ Horazon ก็ยังศึกษา อาคมควบคุมเหล่าปีศาจอยู่..........และเฝ้าสังเกตการณ์ Sanctuary อยู่เงียบๆ....



                    Tip.
                    1.Horazon นั้นถูกตามล่าและหนีไปซ่อนตัวภายใน arcane sanctuary ภายใต้ราชวัง ใน act 2. ของเกม diablo 2 และเมื่อ hero ไปถึงเหล่าปีศาจเข้ายึดครอง arcane ไว้หมดแล้วแต่ก็ไม่มีแม้เงาของ Horazon
                    ชะตากรรมของ หนึ่งในจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มิมีผู้ใดล่วงรู้.........
                    2. Hero class wizard ใน Diablo 1 เป็นสมาชิก Vizjerai











                    บทพิเศษ นักบวช Zakarum ….ศาสนาแห่งแสงสว่าง....และเหล่าอัศวินแห่งแสง Paladin..

                    นานมาแล้ว...เทวทูตองค์หนึ่งนาม Yaerius ได้พบกับผู้บำเพ็ญศีลคนหนึ่งชื่อว่า Akarat Yaerius ได้สอนถึงหลักการและความเชื่อของศาสนาแห่งแสง Zakarum

                    คำสอนนี้พูดถึงหลักการการอดทนต่อสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย และยึดถือยึดมั่นและอุทิศตนอย่างไร้ข้อกังขาต่อ...แสงสว่าง และแสงสว่างในจิตใจจะขับไล่สิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย Yaerius แต่งตั้งให้ Akarat เป็นตัวแทนเพื่อเผยแพร่คำสอนนี้ออกไป ศาสนาใหม่นี้เผยแพร่ต่อผู้คนธรรมดาทั่วไป และในที่สุดเหล่าผู้คนแห่งเมือง Kurast ก็รับคำสอนนี้เข้าไปในสังคม...พวกเขาส่งเหล่าผู้นับถือออกไปเผยแพร่คำสอน ทั่วทั้งแผ่นดิน...


                    ในที่สุดภายในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งศตวรรษ Zakarum กลายเป็นลัทธิที่ทรงอำนาจทั้งทางการเมืองและทางความเชื่อ......ในทางตะวันออก


                    และเมื่อมีอำนาจทั้งทางการเงินและทางการเมืองแล้วในที่สุด Zakarum ก็ได้ก่อตั้งเหล่านักรบศักดิสิทธิ์ผู้ทำการต่อสู้กับความชั่วร้ายในนามของ แสงสว่างนี่คือการกำเนิดของเหล่า Paladin รุ่นแรก รู้จักกันในชื่อ Hand of Zakarum …. หัตย์แห่งซาคาลัม...


                    เมื่อในช่วงเวลานั้นย่อมไม่มีปีศาจให้เหล่านักรบไปต่อสู้ด้วย....ความ ชั่วร้ายในความคิดของพวกเขาเหล่า Zakarum ก็คือเหล่าผู้ไม่ยอมนับถือศาสนาเช่นตน.....เหล่า Paladin ถูกส่งไปต่อสู้กับผู้อยู่ต่างศาสนานั่นเอง....


                    Zakarum นั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่ Travincial ภายใน Kurast โดยมีวิหารแห่งแสงตั้งอยู่ตรงกลางภายในปกครองโดยเหล่า สภาสูงแห่ง Zakarum และมีผู้ปกครองสูงสุดคือ Que-Hegan เป็นชื่อตำแหน่งสูงสุด โดยมีเหล่า paladin และ อัศวิน เป็นตำแหน่งรองลงมา......




                    บทพิเศษ ดินแดนแห่งแคนดูรัส อาณาจักรเกรียงไกร Westmarch และราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ Leoric

                    เป็นเวลาหลายปีหลังจากการหายไปของเหล่าจอมเวทย์ Horadrim ได้มีสังคมที่เจริญเติบโตเกิดขึ้นมากมายใน ดินแดนทางตะวันตก เมื่อเวลาผ่านไปเหล่านักเดินทางจากทางตะวันออกได้เริ่มตั้งรกรากขึ้นรอบๆ พื้นที่ Khanduras ….ไม่นานก็กลายเป็นอาณาจักรขนาดเล็กที่พึ่งพาตนเองหลายๆอาณาจักรก็เกิดขึ้น อาณาจักรเหล่านี้มีการโต้เถียงกับดินแดน Khanduras บ่อยครั้งในเรื่อง ทรัพยากรและเส้นทางการค้า การปะทะกันเล็กๆเหล่านี้ได้รบกวนสันติสุขทางตะวันตก และอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ทางตอนเหนือ Westmarch นั้นก็เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับ Khanduras เนื่องจากทั้งสองอาณาจักรนั้นมีข้อตกลงทางการค้าร่วมกันมายาวนาน



                    ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ศาสนาเกิดใหม่ Zakarum ได้เริ่มกระจายคำสอนของศาสนาออกไปทั่วทั้งดินแดน และในที่สุดผู้คนใน Westmarch ก็รับเอาศาสนานี้เข้าไปเช่นกัน และเชื่อว่าการกระจายคำสอนเหล่านี้ออกไปเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องทำตาม ในไม่ช้า Westmarch ก็ได้หันเข้าหาอาณาจักรเพื่อนบ้านเพื่อกระจายคำสอนแห่ง Zakarum โดยคาดหวังให้อาณาจักรทั้งหลายรับเอาความเชื่อใหม่นี้เข้าไป....ในไม่ช้า ความตึงเครียดก็เริ่มครอบงำสันติสุขอันยาวนานของสองอาณาจักร Westmarch และ Khandurus เมื่อเหล่านักบวชแห่ง Zakarum ออกไปเทศนา ศาสนาของตนโดยไม่คำนึงว่าจะได้รับการต้อนรับหรือไม่....



                    ตอนนั้นเองที่ท่าน ลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่จากทางเหนือ Leoric เข้ามาที่ดินแดน Khanduras และภายในนามของ Zakarum Leoric ตั้งตนเองขึ้นเป็นราชา Leoric นั้นอุทิศตนให้แก่ศาสนาอย่างมาก พร้อมกับนำเหล่าอัศวินและนักบวชของตนมายังดินแดน Khanduras Leoric และที่ปรึกษาคนสำคัญ Lazarus เดินทางมาถึงเมือง Tristram ( Lazarus นั้นเป็นเหมือนกับทูตที่ทาง Zakarum ส่งมาหา Leoric) และที่ Tristram นั่นเอง Leoric ได้พบกับโบสถ์โบราณของเมือง Tristram Leoric ตัดสินใจให้ที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของสภาและบัลลังค์ของตน และได้สั่งการให้มีการปรับปรุงบูรณะให้ โบส์ถ์แห่ง Tristram กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง......



                    ถึงแม้เหล่าผู้คนอิสระทั้งหลายแห่ง Khanduras จะไม่พอใจที่อยู่ๆก็ถูกปกครองโดยราชาจากต่างแดน Leoric ปกครองประชาชนอย่างยุติธรรมและทรงอำนาจ ในที่สุดเหล่าผู้คนแห่ง Khanduras ก็เริ่มเคารพนับถือราชาองค์นี้เนื่องจากประชาชนทั้งหลายรู้ว่า Leoric เพียงแค่ต้องการนำพาและปกป้องพวกตนจากความมืดมิดทั้งหลายนั่นเอง...

                    Comment


                    • #11
                      ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดครับ
                      ขอขอบคุณท่าน Jokeboy จาก www.gconsole.com
                      ขอขอบคุณทีมงานผู้จัดเกม จาก ผู้จัดการออนไลน์




                      http://webboard.playpark.com/showthread.php?p=207790
                      http://www.manager.co.th/Game/ViewNe...=9490000095643
                      http://www.manager.co.th/Game/ViewNe...=9490000098003

                      Comment


                      • #12
                        ข้อมูลแน่นปึ๊กขอบคุณมากครับ ผมเป็นคนนึงละที่ชอบเกมส์นี้

                        Comment


                        • #13
                          ขนาดเล่นจบแล้ว ยังอยากเล่นอีก

                          Comment


                          • #14
                            เกมนี้ผมชอบครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูล

                            Comment


                            • #15
                              เข้ามาตลึง

                              Comment

                              Working...
                              X