Announcement

Collapse
No announcement yet.

^^ ลองสังเกตกันดูครับ MacBook ของท่าน ^^

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • ^^ ลองสังเกตกันดูครับ MacBook ของท่าน ^^

    เรื่องมีอยู่ว่า อยู่มาวันหนึ่ง ผมก็ชาร์จแบตเจ้า MacBook สุด Love (The new 13-inch MacBook) ตามปกติ ทุกอย่างก็ดูจะเรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไร แบตก็เต็ม 100% เหมือนเคย ใช้งานไปสักพักนึงราวๆ 1-2 ชั่วโมง มิรู้อะไรดลใจให้แหงนหน้าไปดู % แบตอีกครั้ง คุณพระช่วย!!! ทำไมมันเหลือ 99% อ่ะ ก็เสียบที่ชาร์จอยู่ตลอดนี่นา มันไปหายไปไหน 1% หว่า ก็เลยลองโทรไปถามที่ iStudio ดู คำตอบที่ได้รับคือปกติขอรับ งงนิดหน่อย...ใช้ Notebook มาเป็นสิบ ไม่เห็นจะเคยเจอแบบนี้เลย แต่ผมลองถามน้องที่ทำงานซึ่งเค้าก็ใช้ MacBook อยู่เหมือนกัน แต่เป็นรุ่นตัวสีขาว Core Duo เค้าบอกว่าเป็นแบบเดียวกันเป๊ะ ก็เลยเอามาโพสต์เล่าสู่กันฟังให้ลองสังเกตุ MacBook ของท่านดูครับว่าเป็นแบบเดียวกันกับที่ผมเจอรึปล่าว และขอถือโอกาสนี้ขอความรู้จากผู้รู้ด้วยเลยละกันครับว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้

    ขอบพระคุณครับ
    Last edited by k_shox; 10 Feb 2009, 22:06:34.

  • #2
    ปกติ เป็นหมด
    อุปกรณ์ที่เรียกว่าแบตเตอรี่ มีการคลายประจุตามเวลา และอุณหภูมิ ถึงแม้ไม่ได้ใช้

    พึ่งจะมาสังเกตกันมากกว่านะ
    Last edited by Kho_t_de; 10 Feb 2009, 23:03:39. Reason: ใส่รูปอ่ะนะ

    Comment


    • #3
      หรอ99%นึกว่ามันดึงไฟจากแบตมาใช้ขณะชาทเพื่อป้องกันเผื่อไฟภายนอกกระชากซะอีก

      Comment


      • #4
        ท่าน Kho_t_de ครับ แบตใหม่ๆก็เป็นเหมือนกันเหรอครับ ผมเพิ่งใช้เครื่องนี้ได้อาทิตย์กว่าๆเองหง่ะ ^^"

        Comment


        • #5
          อิอิ มาสอดแนม

          Comment


          • #6
            Originally posted by k_shox View Post
            ท่าน Kho_t_de ครับ แบตใหม่ๆก็เป็นเหมือนกันเหรอครับ ผมเพิ่งใช้เครื่องนี้ได้อาทิตย์กว่าๆเองหง่ะ ^^"
            เป็นหมดครับ แบตเก่าแบตใหม่

            Comment


            • #7
              แบตมันคลายประจุเอง

              แล้วมันจะไม่ชาร์จให้จนกว่าจะต่ำกว่า 95%

              ถ้าอยากให้มันเต็มตลอดเหมือนแบตแบบเก่าๆ แบตมันก็ต้องชาร์จตลอดเวลา มันก็พังเร็วสิครับ

              --------
              เค้าออกแบบระบบมาให้มันมีอายุยาวๆนะครับ ไม่ใช่เรื่องแปลก

              Comment


              • #8
                ​เอาให้เคลียร์

                แบตเตอรี่โน้ตบุ๊คที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะเป็นชนิด Lithium Ion (Li-on) ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่สามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา โดยไม่เกิดปัญหา Memory Effect (โน้ตบุ๊คบางยี่ห้ออาจจะเลือกใช้แบตเตอรี่ชนิด Lithium Polymer (Li-Polymer) ซึ่งมีคุณลักษณะใกล้เคียงกัน แต่น้ำหนักเบากว่า)

                แบตเตอรี่แบบ Li-on และ Li-Polymer จะนับการชาร์จเป็นรอบ (Cycle) โดยจะแบ่งแรงดันออกเป็น 3 ระดับคือ 1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่มากกว่า 65-70%, 2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35-60% และ3C หมายถึงการชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30%



                มีคำแนะนำที่ว่า “หากจะไม่ได้มีการใช้โน้ตบุ๊คเป็นระยะเวลานานให้ทำการถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่อง” แต่ก่อนที่จะทำการถอดแบตเตอรี่ออกมาเก็บนั้นอยากจะให้ลองดูตารางด้านบนกันสักนิด ตารางนี้แสดงถึงการสูญเสียพลังงงานของแบตเตอรี่ในระดับอุณหภูมิต่างๆกัน

                โดยจากตารางจะเห็นได้ว่าหากทำการเก็บแบตเตอรี่ที่อุณหภูมิปกติ (25 องศาเซลเซียส) แบตเตอรี่ที่มีความจุ 40% จะคลายประจุออกมา 4% หลังจากผ่านไป 1 ปี และยิ่งอุณหภูมิการเก็บสูงขึ้นอัตราการคลายประจุก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น

                ในขณะที่แบตเตอรี่ที่มีความจุเต็ม​ 100% ​จะคลายประจุออกมาถึง 20% หลังจากผ่านไป 1 ปี และหากอุณหภูมิ การเก็บสูงขึ้นอัตราการคลายประจุก็จะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน

                จึงสรุปได้ว่าหากต้องการถอดและเก็บแบตเตอรี่นั้นควรให้แบตเตอรี่มีความจุ 40% และการเก็บควรเก็บในสถานที่ที่มีอากาศเย็น และไม่มีความชื้น (ตัวเลข 40% นี้เป็นค่าที่เหมาะสมที่สุดจากการทดลองในห้องแล็ป) ในทางกลับกันในกรณีที่มีการใช้งานโน้ตบุ๊ค การชาร์จแบตเตอรี่ทุกครั้งควรชาร์จให้เต็มความจุของแบตเตอรี่

                แล้วถ้าเสียบปลั๊กเล่นหล่ะจะใส่หรือจะถอด?
                ภายในแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คนั้นจะมีวงจรไว้สำหรับควบคุมการชาร์จ โดยลักษณะของวงจรชาร์จแบตเตอรี่ที่พบในโน้ตบุ๊คจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ แบบที่ 1 ทำการชาร์จตลอดเวลาแม้ระดับความจุของแบตเตอรี่จะสูงกว่า 90% วงจรแบบนี้จะพบได้ในโน้ตบุ๊ค รุ่นเก่าๆ ส่วนแบบที่ 2 วงจรชาร์จแบตเตอรี่จะทำงานเมื่อระดับความจุของแบตเตอรี่ต่ำกว่า 90-95% (แล้วแต่ยี่ห้อ) โดยโน้ตบุ๊คส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นจะใช้วงจรแบบที่ 2 นี้ เกือบทั้งหมด

                ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากวงจรการชาร์จทั้ง 2 แบบ แล้วสรุปได้ว่า หาดโน้ตบุ๊คของคุณเป็นรุ่นที่ใช้แบบเตอรี่ที่มีวงจรการชาร์จแบบที่ 2 แล้ว การเสียบปลั๊กเล่นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถอดแบตออกและจะไม่มีผลกระทบใดๆต่อแบตเตอรี่เพราะวงจรการชาร์จของแบตเตอรี่ยังไม่ได้ทำงาน (ในกรณีที่แบตเตอรี่มีความจุมากกว่า 90-95%) แต่หากแบตเตอรี่มีความจุไม่ถึงระดับ 90-95% แนะนำให้ทำการใช้งานไปจนกว่าความจุของแบตเตอรี่จะลดลงถึงระดับ 2C หรือ 1C แล้วจึงค่อยเสียบปลั๊ก
                Last edited by Kho_t_de; 10 Feb 2009, 23:12:46.

                Comment


                • #9
                  เยี่ยมครับ..

                  Comment


                  • #10
                    อธิบานดีมากๆๆครับขอเก็บเป็นความรู้ครับ ไม่เคยสังเกตุของตัวเองเลย

                    Comment


                    • #11
                      ขอบคุณทุกความเห็น และทุกความรู้เลยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ ^^

                      Comment


                      • #12
                        ขอบคุณครับ ดีจริงๆ

                        Comment


                        • #13
                          ความรู้ใหม่ ขอบคุณคร้าบท่าน Kho_t_de

                          Comment


                          • #14
                            ลองเสียบที่ชาร์จเล่นมา 2 วัน % ลดลงไปวันละ 1 ตอนนี้เหลือ 97 แระ มีบางท่านแนะนำให้ทำการ Calibrate battery ดู ผมก็เลยลอง Search หาวิธีการทำ Calibrate ที่ถูกต้องดูว่าเป็นอย่างไร เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ ก็เลยเอามาแชร์ให้ทุกท่านได้อ่านเป็นความรู้ไว้ครับ ^^

                            1. เสียบปลั๊กเพาเวอร์อะแดปเตอร์ให้ชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็ม จนกระทั่งไฟแสดงการชาร์ท หรือไอค่อนแสดงการชาร์ทในอุปกรณ์นั้นแสดงว่าเต็ม 100%.
                            2. ปล่อยให้มีการชาร์ทต่อไปอีกสัก 2 ชั่วโมง ซึ่งในระหว่างการชาร์ทนี้คุณยังสามารถทำงานกับเครื่องอุปกรณ์ได้ตามปกติ.
                            3. ถอดปลั๊กเพาเวอร์อะแดปเตอร์ แล้วใช้งานไปตามปกติจนกระทั่งแบตเตอรี่หมด (ถ้าทำงานสำคัญให้หมั่นเซฟงานไว้ด้วย) จนกระทั่งแบตเตอรี่จ่ายไฟจนหมด ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์จะมีกรอบหน้าต่างเตือน หรือเสียงเตือน (ถ้าตั้งค่าไว้) ก็แค่กดปุ่มปิดกรอบแจ้งเตือนนั้น แต่ทำงานต่อไป.
                            4. จนกระทั่งแบตเตอรี่หมดจริงๆ และเครื่องเข้าสู่ภาวะหลับ (sleep) อย่าลืมเซฟงานสำคัญไว้ก่อนเมื่อมีการเตือนก่อนที่เครื่องจะหลับไป.
                            5. ปิดเครื่องหรือปล่อยให้มันหลับไป ทิ้งไว้ประมาณ 5 ชั่วโมงหรือมากกว่า
                            6. ครบ 5 ชั่วโมงแล้วเชื่อมต่อเพาเวอร์อะแดปเตอร์อีกครั้ง ทำการชาร์ทไฟให้เต็มที่อีกครั้ง แบตเตอรี่ของคุณจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง


                            อ้างอิงจากที่นี่นะครับ -> http://docs.info.apple.com/article.h...5/en/9036.html

                            ข้างบนที่เป็นภาษาไทยนี่มีคนแปลไว้ให้ครับผม ^^
                            Last edited by k_shox; 12 Feb 2009, 13:42:02.

                            Comment


                            • #15
                              เพิ่งจะมาสังเกตูเหมือนกันครับ

                              Comment

                              Working...
                              X