Connectivity Scorecard เป็นผลสำรวจด้าน "การเชื่อมต่อ" กับข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ (ไม่เฉพาะว่ามีจำนวนผู้ที่ใช้ระบบไอทีเท่าไร แต่รวมไปถึงตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น แบนด์วิธออกต่างประเทศ งบประมาณด้านไอทีของภาคเอกชน e-Government ภาครัฐ อีกด้วย) สำรวจโดยบริษัทที่ปรึกษา LECG และนักวิจัยจาก London Business School มีสปอนเซอร์คือบริษัท Nokia Siemens Network
สำหรับของปี 2009 เป็นปีที่สองที่มีการสำรวจ และเป็นปีแรกที่ประเทศไทยอยู่ในการสำรวจ วิธีการสำรวจจะแบ่งประเทศออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 25 ประเทศ ซึ่งสองกลุ่มนี้จะใช้ตัวชี้วัดที่ต่างกันและจัดอันดับแยกกัน กลุ่มแรกคือประเทศพัฒนาแล้ว (Innovation driven economies) และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Efficiency and resource driven economies - เป็นภาษาสวยๆ ของ World Economics Forum)
ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มหลัง และผลสรุปคืออยู่อันดับ 11 จาก 25 ประเทศ ได้คะแนน 3.75 (สูงสุดในกลุ่มนี้คือมาเลเซีย 7.07 ต่ำสุดคือไนจีเรีย 1.30) ในรายงานฉบับที่เผยแพร่ไม่ได้บอกว่าประเทศไทยได้คะแนนแต่ละส่วนเท่าไรบ้าง
ส่วนตัวชี้วัดของกลุ่มประเทศที่สองมีดังนี้ครับ
โครงสร้างพื้นฐาน (ฝั่งผู้บริโภค)
จำนวนหมายเลขโทรศัพท์บ้านต่อประชากร
จำนวนหมายเลขโทรศัพท์มือถือต่อประชากร 100 คน
จำนวนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (internet subscribers) ต่อประชากร 100 คน
อัตราส่วนผู้ใช้บรอดแบนด์
อัตราส่วนของประชากรที่อยู่ในเขตที่มีสัญญาณมือถือ
การใช้งานของผู้บริโภค
อัตราการรู้หนังสือ
จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต (internet users) ต่อประชากร 100 คน
อัตราส่วนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เป็นสตรี
จำนวนนาทีเฉลี่ยที่ใช้ในการคุยโทรศัพท์ (ผ่านโทรศัพท์บ้าน, มือถือ, VoIP) ของประชากร
จำนวน SMS เฉลี่ยต่อเดือนของประชากร
โครงสร้างพื้นฐาน (ฝั่งธุรกิจ)
จำนวนอินเทอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัย (เข้าใจว่าหมายถึง HTTPS) ต่อประชากร 1 ล้านคน
จำนวนพีซีต่อประชากร 100 คน
แบนด์วิธออกต่างประเทศต่อประชากร
จำนวนบรอดแบนด์ภาคธุรกิจ (enterprise access lines) ต่อประชากร
งบประมาณใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจต่อประชากร
การใช้งานของภาคธุรกิจ
อัตราเด็กเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษา
จำนวนนาทีที่โทรออกต่างประเทศเฉลี่ยของประชากร (คิดเฉพาะโทรศัพท์บ้าน)
corporate data revenue ต่อประชากร (ผมเข้าใจว่าหมายถึงการใช้บริการ data ของมือถือ คิดเป็นจำนวนเงิน และคิดเฉพาะภาคธุรกิจ)
งบประมาณใช้จ่ายด้านบริการไอทีเฉลี่ยต่อประชากร คิดเฉพาะจากภาคธุรกิจ
โครงสร้างพื้นฐาน (ฝั่งรัฐบาล)
อันดับในรายการ e-Government ของรัฐบาลทั่วโลก
งบประมาณใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับรัฐบาลต่อประชากร
การใช้งานของภาครัฐบาล
งบประมาณใช้จ่ายด้านบริการไอทีเฉลี่ยต่อประชากร คิดเฉพาะจากภาครัฐบาล
บริการของภาครัฐที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
ประเทศในกลุ่มแรกนั้นจะมีตัวชี้วัดที่ต่างออกไป เช่น มีจำนวนผู้ใช้ 3G, อินเทอร์เน็ตแบบไฟเบอร์, จำนวนหมายเลข IP ฯลฯ เพิ่มเข้ามาด้วย
ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ในการจัดอันดับ มีดังนี้
สิงคโปร์ (9 - กลุ่มแรก) 5.99
มาเลเซีย (1 - กลุ่มหลัง) 7.07
จีน (15 - กลุ่มหลัง) 3.19
ฟิลิปปินส์ (16 - กลุ่มหลัง) 3.17
เวียดนาม (19 - กลุ่มหลัง) 2.75
อินเดีย (20 - กลุ่มหลัง) 1.88
อินโดนีเซีย (21 - กลุ่มหลัง) 1.87
ตัวเอกสารฉบับเต็มดาวน์โหลดได้จาก Connectivity Scorecard (PDF)
ที่มา - Ars Technica
อัพเดต เนื่องจากผมอ่านแต่ตัวเปเปอร์ฉบับเต็ม เลยพลาดข้อมูลที่อยู่บนเว็บของ Connectivity Scorecard ไป
คะแนนของประเทศไทยเป็นไปตามกราฟและตาราง
เนื่องจากว่าเรามีเฉพาะข้อมูลแบบแยกเป็นหมวด ไม่มีข้อมูลละเอียดของแต่ละตัวชี้วัด แต่แค่นี้เราก็คงเห็นว่าส่วนของผู้บริโภคไทยนั้นแข่งขันกับประเทศที่เป็นผู้นำได้สบาย ในขณะที่ส่วนของภาคธุรกิจและภาครัฐบาลนั้นมีคะแนนต่ำมาก ในผลการสำรวจครั้งนี้ได้ให้น้ำหนักกับภาคธุรกิจสูงมาก (ดูตามตารางคือ 67% ในขณะที่ภาครัฐบาลรวมกันแค่ 4% เท่านั้น) ดังนั้นถ้าจะตอบคำถามว่าทำไมคะแนนของประเทศไทยในการสำรวจนี้ถึงต่ำ ก็ต้องบอกว่าเป็นปัญหาที่ภาคธุรกิจนั่นเอง
ส่วนสำคัญที่ประเทศไทยได้คะแนนน้อยที่สุดคือ "โครงสร้างพื้นฐาน (ฝั่งธุรกิจ)" ตรงนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ดีว่า ภาคธุรกิจไทยต้องนำไอทีมาใช้งานให้มากกว่านี้ เพื่อความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก
สำหรับของปี 2009 เป็นปีที่สองที่มีการสำรวจ และเป็นปีแรกที่ประเทศไทยอยู่ในการสำรวจ วิธีการสำรวจจะแบ่งประเทศออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 25 ประเทศ ซึ่งสองกลุ่มนี้จะใช้ตัวชี้วัดที่ต่างกันและจัดอันดับแยกกัน กลุ่มแรกคือประเทศพัฒนาแล้ว (Innovation driven economies) และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Efficiency and resource driven economies - เป็นภาษาสวยๆ ของ World Economics Forum)
ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มหลัง และผลสรุปคืออยู่อันดับ 11 จาก 25 ประเทศ ได้คะแนน 3.75 (สูงสุดในกลุ่มนี้คือมาเลเซีย 7.07 ต่ำสุดคือไนจีเรีย 1.30) ในรายงานฉบับที่เผยแพร่ไม่ได้บอกว่าประเทศไทยได้คะแนนแต่ละส่วนเท่าไรบ้าง
ส่วนตัวชี้วัดของกลุ่มประเทศที่สองมีดังนี้ครับ
โครงสร้างพื้นฐาน (ฝั่งผู้บริโภค)
จำนวนหมายเลขโทรศัพท์บ้านต่อประชากร
จำนวนหมายเลขโทรศัพท์มือถือต่อประชากร 100 คน
จำนวนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (internet subscribers) ต่อประชากร 100 คน
อัตราส่วนผู้ใช้บรอดแบนด์
อัตราส่วนของประชากรที่อยู่ในเขตที่มีสัญญาณมือถือ
การใช้งานของผู้บริโภค
อัตราการรู้หนังสือ
จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต (internet users) ต่อประชากร 100 คน
อัตราส่วนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เป็นสตรี
จำนวนนาทีเฉลี่ยที่ใช้ในการคุยโทรศัพท์ (ผ่านโทรศัพท์บ้าน, มือถือ, VoIP) ของประชากร
จำนวน SMS เฉลี่ยต่อเดือนของประชากร
โครงสร้างพื้นฐาน (ฝั่งธุรกิจ)
จำนวนอินเทอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัย (เข้าใจว่าหมายถึง HTTPS) ต่อประชากร 1 ล้านคน
จำนวนพีซีต่อประชากร 100 คน
แบนด์วิธออกต่างประเทศต่อประชากร
จำนวนบรอดแบนด์ภาคธุรกิจ (enterprise access lines) ต่อประชากร
งบประมาณใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจต่อประชากร
การใช้งานของภาคธุรกิจ
อัตราเด็กเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษา
จำนวนนาทีที่โทรออกต่างประเทศเฉลี่ยของประชากร (คิดเฉพาะโทรศัพท์บ้าน)
corporate data revenue ต่อประชากร (ผมเข้าใจว่าหมายถึงการใช้บริการ data ของมือถือ คิดเป็นจำนวนเงิน และคิดเฉพาะภาคธุรกิจ)
งบประมาณใช้จ่ายด้านบริการไอทีเฉลี่ยต่อประชากร คิดเฉพาะจากภาคธุรกิจ
โครงสร้างพื้นฐาน (ฝั่งรัฐบาล)
อันดับในรายการ e-Government ของรัฐบาลทั่วโลก
งบประมาณใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับรัฐบาลต่อประชากร
การใช้งานของภาครัฐบาล
งบประมาณใช้จ่ายด้านบริการไอทีเฉลี่ยต่อประชากร คิดเฉพาะจากภาครัฐบาล
บริการของภาครัฐที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
ประเทศในกลุ่มแรกนั้นจะมีตัวชี้วัดที่ต่างออกไป เช่น มีจำนวนผู้ใช้ 3G, อินเทอร์เน็ตแบบไฟเบอร์, จำนวนหมายเลข IP ฯลฯ เพิ่มเข้ามาด้วย
ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ในการจัดอันดับ มีดังนี้
สิงคโปร์ (9 - กลุ่มแรก) 5.99
มาเลเซีย (1 - กลุ่มหลัง) 7.07
จีน (15 - กลุ่มหลัง) 3.19
ฟิลิปปินส์ (16 - กลุ่มหลัง) 3.17
เวียดนาม (19 - กลุ่มหลัง) 2.75
อินเดีย (20 - กลุ่มหลัง) 1.88
อินโดนีเซีย (21 - กลุ่มหลัง) 1.87
ตัวเอกสารฉบับเต็มดาวน์โหลดได้จาก Connectivity Scorecard (PDF)
ที่มา - Ars Technica
อัพเดต เนื่องจากผมอ่านแต่ตัวเปเปอร์ฉบับเต็ม เลยพลาดข้อมูลที่อยู่บนเว็บของ Connectivity Scorecard ไป
คะแนนของประเทศไทยเป็นไปตามกราฟและตาราง
เนื่องจากว่าเรามีเฉพาะข้อมูลแบบแยกเป็นหมวด ไม่มีข้อมูลละเอียดของแต่ละตัวชี้วัด แต่แค่นี้เราก็คงเห็นว่าส่วนของผู้บริโภคไทยนั้นแข่งขันกับประเทศที่เป็นผู้นำได้สบาย ในขณะที่ส่วนของภาคธุรกิจและภาครัฐบาลนั้นมีคะแนนต่ำมาก ในผลการสำรวจครั้งนี้ได้ให้น้ำหนักกับภาคธุรกิจสูงมาก (ดูตามตารางคือ 67% ในขณะที่ภาครัฐบาลรวมกันแค่ 4% เท่านั้น) ดังนั้นถ้าจะตอบคำถามว่าทำไมคะแนนของประเทศไทยในการสำรวจนี้ถึงต่ำ ก็ต้องบอกว่าเป็นปัญหาที่ภาคธุรกิจนั่นเอง
ส่วนสำคัญที่ประเทศไทยได้คะแนนน้อยที่สุดคือ "โครงสร้างพื้นฐาน (ฝั่งธุรกิจ)" ตรงนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ดีว่า ภาคธุรกิจไทยต้องนำไอทีมาใช้งานให้มากกว่านี้ เพื่อความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก
Comment