Tweet
ยังจำกันได้ไหมครับ ในยุคที่เราเปลี่ยนจากการดูหนังบนม้วนเทปมาเป็นดูบนแผ่นซีดี และก็เปลี่ยนจากแผ่นซีดีมาเป็นแผ่นดีวีดี ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลและรายละเอียดได้มากขึ้น ดังนั้น คุณภาพของภาพวิดีโอและเสียงของหนังที่เรารับชมผ่านสื่อยุคใหม่ๆ จึงน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าเป็นไหนๆ แต่ปัจจุบันดีวีดีอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ตรงใจคุณอีกต่อไปแล้ว เมื่อคุณได้สัมผัสกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า HD หรือ Hi-Def
เทคโนโลยี HD หรือ High-Definition เป็นรูปแบบที่ใช้เรียกสื่อในรูปแบบใหม่ๆ ที่มีคุณภาพสูงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาพและเสียง แต่นั่นก็จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่พร้อมสำหรับเทคโนโลยี Hi-Def นี้ด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งเรื่องของสื่อบันทึกข้อมูลที่มีความชัดเจนมากขึ้นจากแผ่น Blu-ray, HD-DVD และการใช้อุปกรณ์แสดงผลในส่วนอื่นๆ ที่รองรับการทำงานกับภาพความละเอียดสูง และทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การจับพีซีที่มีประสิทธิภาพของคุณอยู่แล้วมาเป็นเครื่องเล่น Hi-Def โดยใช้งบประมาณเพียงน้อยนิดเท่านั้น!
HTPC หรือ Home Theater PC เป็นเทรนด์ที่กำลังเข้ามามีบทบาทต่อผู้ที่ชื่นชอบความบันเทิงเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยการออกแบบซอฟต์แวร์มาให้สามารถใช้งานได้ง่าย และมีรีโมตควบคุมการทำงานได้เหมือนกับการใช้เครื่องเล่นชนิดอื่นๆ ที่สำคัญคือ HTPC มีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่า ทั้งสามารถดูหนัง ฟังเพลง ดูภาพ เล่นอินเทอร์เน็ต แชตกับเพื่อน และอีกหลายๆ อย่างที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปสามารถทำได้ ประกอบกับสื่อบันทึกข้อมูลและรูปแบบไฟล์ที่หลากหลาย ทำให้เครื่องเล่นแผ่นอาจจะสามารถตอบโจทย์คุณได้ไม่ดีเท่ากับ HTPC ก็เป็นได้
หัวใจสำคัญของ Hi-Def
จากเดิมถ้าสายตาคุณเคยชินกับหนังบนแผ่นดีวีดีกันแล้วอาจจะไม่สังเกตว่ามันมีความละเอียดเพียงแค่ 720X480 พิกเซล แน่นอนว่าถ้าเทียบกับสมัยที่เป็นแผ่นวีซีดีที่มีความละเอียดน้อยไปอีกคืออยู่ที่ 352X240 พิกเซลเท่านั้น
เปรียบเทียบความละเอียดระหว่างวิดีโอธรรมดากับ Hi-Def
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงได้เห็นภาพของหนังที่อยู่บนแผ่นดีวีดีมีความคมชัดและให้รายละเอียดที่มากกว่า แต่นี่เรากำลังพูดถึงหนังในระดับ Hi-Def ซึ่งมีความละเอียดที่สูงมากขึ้นไปอีก
ด้วยเทคโนโลยี HD หรือ High-Definition นั้นจะมีมาตรฐานความละเอียดอยู่ด้วยกันหลายระดับ แต่ ณ ปัจจุบันที่เราเห็นๆ กันอยู่ก็คือ 720p ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มีความละเอียดในการแสดงผลอยู่ที่ 1280x720 พิกเซล ถ้าเทียบกับแผ่นดีวีดีละก็คนละเรื่องกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีมาตรฐาน 1080p หรือ 1080i ที่ให้ความละเอียดมากขึ้นไปอีก (ที่ระดับ 1920x1080 พิกเซล) ซึ่งเราเรียกมันว่า Full HD เป็นมาตรฐานสูงสุดของ HD ที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้วครับ
ตารางเปรียบเทียบ HD รูปแบบต่างๆ
สังเกตไหมครับว่าเทคโนโลยี HD นั้นช่วยเพิ่มคุณภาพของหนัง โดยเฉพาะเรื่องของการแสดงผลให้สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่กว่าจะมาเป็น Hi-Def ได้นั้นก็จำเป็นต้องมีองค์ประกอบอะไรมากกว่าการจับเอาหนังที่มีคุณภาพสูงยัดลงไปในสื่อบันทึกข้อมูลที่มีความจุสูงๆ และแสดงผลออกทางจอภาพที่มีความละเอียดในการแสดงผลสูงๆ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าองค์ประกอบที่ว่ามีอะไรบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลยครับ
เมื่อเราพูดถึง High-Definition แล้วส่วนใหญ่คงจะโฟกัสไปที่เรื่องของภาพมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ถึงความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพได้ง่าย ส่วนเรื่องเสียงนั้นอาจจะให้ความสำคัญรองลงไปเพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง และเมื่อเราดูในส่วนของการแสดงผล Hi-Def แล้วก็จะพบคำศัพท์ที่ควรจะรู้ไว้ 2 คำนั่นคือ HDMI และ HDCP
HDMI นั้นย่อมากจาก High-Definition Multimedia Interface เป็นอินเทอร์เฟซการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์เพื่อการส่งสัญญาณภาพและเสียง โดยในส่วนของภาพนั้นจะเป็นการส่งข้อมูลในรูปแบบดิจิตอลเหมือนกับที่เราใช้งานกันอยู่บนพอร์ต DVI ของคอมพิวเตอร์นั่นเอง
โดยมีความสามารถในการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงเพียงพอที่จะส่งข้อมูลภาพ Hi-Def ที่มีขนาดใหญ่ๆ ไปแสดงผลบนจอภาพได้ และสิ่งสำคัญของ HDMI ก็คือ เป็นการเชื่อมต่อที่ส่งสัญญาณภาพและเสียงไปพร้อมๆ กันในสายเส้นเดียว ช่วยให้คุณลืมไปได้เลยกับเรื่องการต่อสายที่ยุ่งยากของโฮมเธียเตอร์ในบ้านคุณ
HDCP เป็นอีกหนึ่งคำที่คุณควรจะต้องทำความรู้จักไว้ มันย่อมาจาก High-Bandwidth Digital Content Protection เป็นมาตรฐานที่ใช้ป้องกันการก๊อบปี้หนัง Hi-Def อย่างหนึ่ง
แต่ส่งผลกับผู้ใช้ค่อนข้างมาก เพราะหลักการทำงานของมันคือการเข้ารหัสข้อมูลภาพและเสียงต่างๆ ของหนัง Hi-Def เอาไว้ ซึ่งจะสามารถถูกถอดรหัสได้ด้วยอุปกรณ์ที่สามารถรองรับกับรูปแบบ HDCP ทั้งทางฝั่งของเครื่องเล่นและฝั่งของจอภาพ ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าคุณต้องการเครื่องเล่นและจอภาพสำหรับดูหนัง Hi-Def แล้วล่ะก็ อุปกรณ์ทั้งสองชิ้นต้องได้รับการรับรองรูปแบบ HDCP ด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถถอดรหัสได้ แล้วสิ่งที่คุณจะได้แทนก็คือคุณภาพของภาพระดับดีวีดีเท่านั้น
HTPC ในดวงใจ ไม่ไกลเกินเอื้อมเราคงไม่พูดถึงเครื่องเล่นแผ่น Blu-ray ปกติกันนะครับ เพราะเท่าที่เห็นในตลาดตอนก็มีราคาอยู่ราวๆ หมื่นต้นๆ ขึ้นไปเพื่อแลกความสามารถที่เอามาเพื่อใช้ดูหนังจากแผ่น Blu-ray Disc ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงคือ การประกอบเครื่อง HTPC ขึ้นมาใช้เพื่อดูหนัง Hi-Def ภายในบ้านเอง อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่ามันมีความยืดหยุ่นในการใช้งานที่มากกว่าเป็นไหนๆ
มาถึงตรงจุดนี้ คุณอาจจะเลยไปถึงเรื่องงบประมาณที่จะใช้เพื่อซื้ออุปกรณ์คุณภาพสูงที่จะมารองรับการดูหนัง Hi-Def กันแล้วใช่ไหมครับ เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเกินเหตุ เพราะจริงอยู่ว่าการจัดสเปกเครื่องที่มีความสามารถในการดูหนัง Hi-Def ได้นั้นจำเป็นต้องใช้เครื่องที่มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูง แต่ระดับไหนล่ะที่จะถือว่าคุณไม่ได้จ่ายเงินในกระเป๋ามากเกินความจำเป็น
ประสิทธิภาพเครื่อง เรื่องสำคัญ
ถือเป็นประเด็นหลักของการจัดสเปกคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปอยู่แล้ว คำถามก็คือสเปกระดับไหนถึงจะสามารถดู Hi-Def ได้กันแน่ คำตอบที่แน่ๆ ก็คือไม่ต้องแรงขึ้นขนาดหยิบเอา Quad-Core มาใช้ให้กระเป๋าเบาเล่นๆ เน้นความคุ้มค่าควรหันไปหาซีพียู Dual Core รุ่นเล็กอย่าง Pentium Dual-Core E2xxx ก็เพียงพอต่อความต้องการแล้วเพราะอย่าลืมว่าเราเอา HTPC มาเน้นการดูหนังนะครับ ไม่ได้เอามาเล่นเกม หรือทำงานด้าน CAD/CAM ซึ่งต้องใช้ซีพียูแรงมากนัก หรือถ้าต้องการเผื่อไว้หน่อยก็แนะนำตระกูล E4xxx ที่มีราคาไม่สูงมากนักก็ได้
Intel Pentium Dual Core ราคาถูก แรงอย่างพอเพียง
เดี๋ยวนี้แรมราคาลง ซื้อไปเถอะครับ
หน่วยความจำหรือแรมนั้นยิ่งมากก็ยิ่งดี ยิ่งเดี๋ยวนี้ราคาของหน่วยความจำ DDR2 นั้นถูกมากเสียจนอยากจะซื้อมาใส่ให้เต็มสล็อตแรมบนเมนบอร์ดเสียเหลือเกิน ด้วยแรมขนาด DDR2 ขนาด 2GB ราคาคงไม่น่าจะทำให้ขนหน้าแข้งของคุณร่วงหรอกจริงไหมครับ
การ์ดจอแยกหรือออนบอร์ด
ส่วนสำคัญของ HTPC ก็คือเรื่องของระบบกราฟิก ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่รับผิดชอบใน่ส่วนของกราฟิกก็คือการ์ดจอนั่นเอง ถ้าคุณต้องการเน้นเรื่องของความประหยัด งานนี้คงหนีไม่พ้นการ์ดจอแบบออนบอร์ดล่ะครับ แต่ก็ดูอย่ามาดูถูกการ์ดจอออนบอร์ดสมัยใหม่กันนะครับ เพราะไม่เพียงแต่จะพัฒนาในเรื่องของประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นแล้วก็ยังมีพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อแบบ DVI หรือ HDMI มาให้ในบ้างรุ่นอีกด้วย จึงแทบจะบอกได้ว่าคุณไม่จะเป็นเลยที่จะต้องเสียเงินเพื่อซื้อการ์ดจอแยกราคาแพงๆ มาติดตั้งเสริมเข้าไป การ์ดจอออนบอร์ดที่เหมาะสมสำหรับการใช้เป็น HTPC ก็มีถมไป เช่นเมนบอร์ดที่ใช้ชิปเซต 690G หรือ 780G ของค่าย AMD หรือถ้าชอบค่าย Intel มากกว่าก็สามารถมองหาเมนบอร์ดที่ใช้ชิป 965G หรือ G33 ก็ได้ครับ ราคาของเมนบอร์ดเหล่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 พันบาทเท่านั้น ถือว่าราคาไม่แพงเลย หรือจะมองไปถึงรุ่นที่เป็น Intel G35 ที่ได้รับการรับรองว่าพร้อมสำหรับการดูหนัง Hi-Def ก็ได้ครับ แต่ราคาอาจจะบานปลายขึ้นไปถึงราวๆ 5 พันเลยทีเดียว
เทคโนโลยีการประมวลผล HD ของการ์ดจอแต่ละค่ายช่วยลดภาระซีพียูลงไปได้มาก
สำหรับการ์ดจอแยกนี้ ถึงแม้ผมจะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่จะเป็นเอาเสียเลย แต่ก็ถือว่าเป็นออปชันหนึ่งที่คุณสามารถเพิ่มเข้าไปได้ เผื่อว่าต้องการใช้ HTPC ตัวนี้ในการเล่นเกมด้วย และนอกจากนี้การ์ดจอแยกเหล่านี้ยังมีเทคโนโลยีเฉพาะที่ช่วยแบ่งภาระการทำงานของซีพียูในการดูหนัง Hi-Def มาได้อย่าง PureVideo ของ nVidia หรือ AVIVO ของ ATI ครับ
คุ้มหรือไม่กับไดรฟ์ Blu-ray
แม้ว่าสงครามฟอร์แมตระหว่าง Blu-ray และ HD-DVD จะยุติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างที่เราทราบกันครับว่า Blu-ray เป็นฝ่ายชนะไป ซึ่งนั่นทำให้ผู้ผลิตแผ่นหนังและผู้ผลิตอุปกรณ์มีทิศทางที่แน่นอนในการผลิตสินค้าออกมารองรับตลาดมากขึ้น แต่ถ้าใครไปเดินห้างแล้วเห็นราคาของไดรฟ์ Blu-ray สำหรับคอมพิวเตอร์ก็อาจจะต้องร้องจ๊ากก!! ด้วยราคาเหยียบหมื่น กับความสามารถในการอ่านแผ่น Blu-ray และควบรวมกับไดรฟ์ DVD-Writer ทำให้มันยังคงไกลเกินเอื้อมสำหรับใครหลายๆ คน ยิ่งถ้าเป็นไดรฟ์ที่สามารถเขียนแผ่น Blu-ray ได้ด้วยแล้วราคาก็ยิ่งสูงชึ้นอยู่ในระดับหมื่นกลางๆ อีก ประกอบกับแผ่นหนัง Blu-ray ในตอนนี้ก็ยังคงมีราคาที่ค่อนข้างแพงและหาซื้อยากอยู่ด้วย
ดังนั้นแล้วถ้าไม่ใช่แผ่น Blu-ray ทางเลือกไหนที่จะทำให้เราได้หนัง Hi-Def มาไว้ดูกัน ฮาร์ดดิสก์คงเป็นทางออกที่น่าสนใจกว่าสำหรับ HTPC เพราะจุดเด่นของมันที่เครื่องเล่นทั่วไปเทียบไม่ได้เลยก็คือขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเพิ่มเข้าไปได้มหาศาลเหมือนกับเครื่องพีซีที่เราใช้งานกันอยู่ และเดี๋ยวนี้ฮาร์ดดิสก์ขนาด 500GB ก็มีราคาอยู่ที่ราวๆ 3 พันกลางๆ เท่านั้นเอง มันจึงเป็นทางเลือกที่มองยังไงก็คุ้มค่ากว่าไดรฟ์ Blu-ray เป็นไหนๆ จริงๆ ไหมครับ ส่วนหนัง Hi-Def ที่จะเอามาใส่ในฮาร์ดดิสก์คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าจะไปหามาได้จากไหน (*0*)
LCD Monitor vs. LCD TV
ส่วนประกอบหลักอีกส่วนที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับการดูหนัง Hi-Def ก็คือ เรื่องของจอภาพ งานนี้คุณอาจจะต้องคิดหนักกันหน่อยว่าความต้องการของคุณอยู่ที่ใด ถ้าคุณเลือกที่จะใช้ LCD Monitor หรือจอสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ละก็คุณสามารถได้จอภาพที่รองรับภาพระดับ 720p ได้อย่างสบายๆ ในราคาไม่ถึงหมื่นเลยด้วยซ้ำกับจอ LCD Monitor ขนาด 20 หรือ 22 นิ้ว ที่มีความละเอียดอยู่ที่ 1680x1050 พิกเซล หรือจะเล่นจอขนาด 24 นิ้วที่มาพร้อมกับความละเอียด 1920x1200 ซึ่งเป็นความละเอียดที่สามารถรองรับกับมาตรฐาน Full HD ไม่ว่าจะเป็น 1080i หรือ 1080p ได้อย่างสบายในราคาเริ่มต้นที่หมื่นกลางๆ เท่านั้น
ประเด็นอยู่ที่ถ้าคุณต้องการใช้งานเพื่อดูหนังเป็นหลักแล้ว คุณอยากได้จอใหญ่ๆ หรือจอเล็กๆ ละครับ แน่นอนคุณไม่ได้ทำงานกราฟิก คุณไม่ได้ต้องการตัวอักษรที่คมชัด แต่คุณต้องการที่จะเอนหลังบนโซฟาที่บ้านแล้วนั่งดูหนัง Hi-Def อย่างสบายใจ คำตอบของคุณจึงน่าจะตกอยู่ที่จอ LCD TV เสียมากกว่า ข้อได้เปรียบของ LCD TV นั้นมีอยู่หลายข้อทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องของขนาดที่มีให้เลือกตั้งแต่ 32 นิ้วขึ้นไปจนถึงไปถึงระดับ 50-60 นิ้วก็มี (ถ้าคุณจ่ายไหว) ทำให้คุณได้ดูหนังได้อย่างเต็มตา และมันยังได้รับการพัฒนามาเพื่อการแสดงภาพเคลื่อนไหวโดยเฉพาะอยู่แล้ว ก็มันทีวีนี่ครับ ดังนั้นการรองรับเรื่องการดูหนังมันย่อมดีกว่าจอ Monitor อยู่แล้ว นอกจากนี้มันยังมีชุด TV Tuner ในตัวที่ให้คุณสามารถดูทีวีได้โดยไม่ต้องไปซื้อการ์ด TV Tuner มาติดในคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมด้วย
เห็นได้ชัดว่าจอ LCD TV นั้นน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากกว่าเป็นไหนๆ สนนราคาของ LCD TV รุ่นเล็กๆ ขนาด 32 นิ้วจะมีราคาเริ่มเต้นอยู่ที่ราวๆ หมื่นเจ็ดพันบาท แต่นั่นเป็นเพียงแค่จอภาพที่รองรับความละเอียด 720p หรือที่เรียกว่า HD Ready เท่านั้นไม่รองรับ Full HD ครับ ซึ่งผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วคุณคงไม่ได้ไปนั่งจ้องเม็ดสีพิกเซลบนหน้าจอเพื่อหารอยแตกของภาพในระหว่างที่กำลังดูหนังแอ็กชันสุดมันส์หรอกจริงไหมครับ
ระบบเสียง สิ่งที่ขาดไมได้
เรื่องของภาพก็ผ่านไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องเสียงกันบ้างครับ ซึ่งระบบเสียงของ Hi-Def มีความสำคัญไม่แพ้กัน คุณอาจจะคุ้นเคยกับ Dolby Surround หรือ THX หรือมาตรฐานเสียงรูปแบบอื่นๆ ที่ใช้ในโรงภาพยนตร์และแผ่นหนังดีวีดี แต่สำหรับหนัง Hi-Def แล้วมาตรฐานจะมีการเปลี่ยนไปอย่างเช่น True HD ที่ให้คุณภาพและรายละเอียดเสียงที่มากขึ้นกว่าเดิม แต่นั่นก็หมายความว่าคุณจำเป็นจะต้องใช้ภาคถอดรหัสที่รองรับด้วยเช่นเดียวกัน น่าเสียดายจริงๆ ที่การใช้ HTPC นั้นยังคงไม่สามารถถอดรหัสระบบเสียงรูปแบบใหม่ๆ นี้ได้ แต่คุณยังสามารถที่จะต่อสัญญาณเสียงเข้ากับอุปกรณ์ถอดรหัสสัญญาณที่เรียกว่า AV Receiver รุ่นที่สามารถถอดรหัส True HD ได้อยู่ แต่งบประมาณก็อาจจะบานปลายได้ เอาเป็นว่าถ้าไม่ได้เน้นเรื่องของเสียงให้มันมากนักก็ใช้ระบบเสียงธรรมดาในแบบ 5.1 ที่เราใช้กันอยู่ก็เหลือกินแล้วครับ
อุปกรณ์เสริม เพิ่มความสะดวก
ไม่เพียงแค่ส่วนประกอบที่ใช้เป็นแกนหลักในการประมวลผลภาพและเสียงเท่านั้น แต่ HTPC ยังต้องมีการออกแบบมาให้สะดวกต่อการใช้งานด้วย เพราะอย่าลืมว่าเราไม่ได้นั่งใช้งานมันบนโต๊ะนะครับ แต่เราใช้มันในห้องนั่งเล่น สิ่งแรกที่จำเป็นต้องคำนึงถึงก็คือความสวยงามของเคส บางคนอาจจะมองไปถึงเครื่อง Barebone ที่มีความกะทัดรัดและสวยงาม แต่เคสคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาสำหรับการทำ HTPC โดยเฉพาะก็มีให้เลือกมากขึ้นแล้ว แถมยังมีรีโมตคอนโทรลมาพร้อมในตัวเพื่อใช้ควบคุมส่วนของ Windows Media Center ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่อยู่ใน Windows XP MCE และ Windows Vista บางรุ่นด้วย
นอกจากนี้เมาส์และคีย์บอร์ดแบบไร้สายก็ถือว่าเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้อีกส่วนหนึ่งในการทำงานด้านอื่นๆ เช่น เล่นอินเทอร์เน็ตหรือแชตกับเพื่อนบนจอ LCD ขนาดใหญ่ในห้องนั่งเล่น น่าจะได้บรรยากาศไปอีกแบบนะครับ (*_*)
นอกจากนี้ยังมี TV Tuner ที่คุณสามารถติดตั้งเข้าไปเพิ่มในเครื่องได้อีก หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องมี TV Tuner อีก ในเมื่อตัว LCD TV ก็มีภาครับของโทรทัศน์อยู่แล้ว คำตอบก็คือถ้าคุณติด TV Tuner เอาไว้ คุณสามารถใช้รีโมทของมันมาทำงานร่วมกับฟังก์ชัน Media Center ได้ และที่สำคัญที่สุดคือคุณสามารถจะสั่งอัดรายการทีวีที่คุณชื่นชอบลงใน HTPC ได้โดยตรงอีกด้วย
สรุป
ด้วยงบประมาณเพียงแค่ 2 หมื่นต้นๆ คุณก็สามารถที่จะเป็นเจ้าของ HTPC ที่สามารถเอาไว้ดูหนังเพื่อความบันเทิงภายในบ้านได้อย่างมากยากเย็นแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าเครื่อง HTPC แบบประกอบเองนี้ยังไงก็ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พอสมควรอยู่ เพราะส่วนประกอบต่างๆ ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยกัน ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การอาศัยฟังก์ชันการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้รองรับด้านความบันเทิงเท่านั้น
ถ้าคุณต้องการให้ง่ายต่อการใช้งานจริงๆ เครื่องเล่นหนัง Hi-Def จริงๆ น่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากกว่าอยู่ดีไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปมากขนาดไหน ความต้องการของคนเราก็ยังไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนอย่างสมัยที่เปลี่ยนจากยุคของซีดีมาเป็นดีวีดี คราวนี้กลายมาเป็น Hi-Def และในอนาคตจะมีอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกบ้างก็ไม่รู้ แต่การตามติดเทคโนโลยีนั้นก็ควรมีความพอดีและสมเหตุสมผลกับสิ่งที่เราได้รับมาเพื่อที่จะได้ใช้เทคโนโลยีนั้นๆ ให้คุ้มค่าและเหมาะสมกับการใช้งานของเราให้ได้มากที่สุดครับ !
เครดิต จากเว็บ www.arip.co.th
เทคโนโลยี HD หรือ High-Definition เป็นรูปแบบที่ใช้เรียกสื่อในรูปแบบใหม่ๆ ที่มีคุณภาพสูงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาพและเสียง แต่นั่นก็จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่พร้อมสำหรับเทคโนโลยี Hi-Def นี้ด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งเรื่องของสื่อบันทึกข้อมูลที่มีความชัดเจนมากขึ้นจากแผ่น Blu-ray, HD-DVD และการใช้อุปกรณ์แสดงผลในส่วนอื่นๆ ที่รองรับการทำงานกับภาพความละเอียดสูง และทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การจับพีซีที่มีประสิทธิภาพของคุณอยู่แล้วมาเป็นเครื่องเล่น Hi-Def โดยใช้งบประมาณเพียงน้อยนิดเท่านั้น!
HTPC หรือ Home Theater PC เป็นเทรนด์ที่กำลังเข้ามามีบทบาทต่อผู้ที่ชื่นชอบความบันเทิงเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยการออกแบบซอฟต์แวร์มาให้สามารถใช้งานได้ง่าย และมีรีโมตควบคุมการทำงานได้เหมือนกับการใช้เครื่องเล่นชนิดอื่นๆ ที่สำคัญคือ HTPC มีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่า ทั้งสามารถดูหนัง ฟังเพลง ดูภาพ เล่นอินเทอร์เน็ต แชตกับเพื่อน และอีกหลายๆ อย่างที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปสามารถทำได้ ประกอบกับสื่อบันทึกข้อมูลและรูปแบบไฟล์ที่หลากหลาย ทำให้เครื่องเล่นแผ่นอาจจะสามารถตอบโจทย์คุณได้ไม่ดีเท่ากับ HTPC ก็เป็นได้
หัวใจสำคัญของ Hi-Def
จากเดิมถ้าสายตาคุณเคยชินกับหนังบนแผ่นดีวีดีกันแล้วอาจจะไม่สังเกตว่ามันมีความละเอียดเพียงแค่ 720X480 พิกเซล แน่นอนว่าถ้าเทียบกับสมัยที่เป็นแผ่นวีซีดีที่มีความละเอียดน้อยไปอีกคืออยู่ที่ 352X240 พิกเซลเท่านั้น
เปรียบเทียบความละเอียดระหว่างวิดีโอธรรมดากับ Hi-Def
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงได้เห็นภาพของหนังที่อยู่บนแผ่นดีวีดีมีความคมชัดและให้รายละเอียดที่มากกว่า แต่นี่เรากำลังพูดถึงหนังในระดับ Hi-Def ซึ่งมีความละเอียดที่สูงมากขึ้นไปอีก
ด้วยเทคโนโลยี HD หรือ High-Definition นั้นจะมีมาตรฐานความละเอียดอยู่ด้วยกันหลายระดับ แต่ ณ ปัจจุบันที่เราเห็นๆ กันอยู่ก็คือ 720p ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มีความละเอียดในการแสดงผลอยู่ที่ 1280x720 พิกเซล ถ้าเทียบกับแผ่นดีวีดีละก็คนละเรื่องกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีมาตรฐาน 1080p หรือ 1080i ที่ให้ความละเอียดมากขึ้นไปอีก (ที่ระดับ 1920x1080 พิกเซล) ซึ่งเราเรียกมันว่า Full HD เป็นมาตรฐานสูงสุดของ HD ที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้วครับ
ตารางเปรียบเทียบ HD รูปแบบต่างๆ
สังเกตไหมครับว่าเทคโนโลยี HD นั้นช่วยเพิ่มคุณภาพของหนัง โดยเฉพาะเรื่องของการแสดงผลให้สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่กว่าจะมาเป็น Hi-Def ได้นั้นก็จำเป็นต้องมีองค์ประกอบอะไรมากกว่าการจับเอาหนังที่มีคุณภาพสูงยัดลงไปในสื่อบันทึกข้อมูลที่มีความจุสูงๆ และแสดงผลออกทางจอภาพที่มีความละเอียดในการแสดงผลสูงๆ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าองค์ประกอบที่ว่ามีอะไรบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลยครับ
เมื่อเราพูดถึง High-Definition แล้วส่วนใหญ่คงจะโฟกัสไปที่เรื่องของภาพมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ถึงความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพได้ง่าย ส่วนเรื่องเสียงนั้นอาจจะให้ความสำคัญรองลงไปเพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง และเมื่อเราดูในส่วนของการแสดงผล Hi-Def แล้วก็จะพบคำศัพท์ที่ควรจะรู้ไว้ 2 คำนั่นคือ HDMI และ HDCP
HDMI นั้นย่อมากจาก High-Definition Multimedia Interface เป็นอินเทอร์เฟซการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์เพื่อการส่งสัญญาณภาพและเสียง โดยในส่วนของภาพนั้นจะเป็นการส่งข้อมูลในรูปแบบดิจิตอลเหมือนกับที่เราใช้งานกันอยู่บนพอร์ต DVI ของคอมพิวเตอร์นั่นเอง
โดยมีความสามารถในการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงเพียงพอที่จะส่งข้อมูลภาพ Hi-Def ที่มีขนาดใหญ่ๆ ไปแสดงผลบนจอภาพได้ และสิ่งสำคัญของ HDMI ก็คือ เป็นการเชื่อมต่อที่ส่งสัญญาณภาพและเสียงไปพร้อมๆ กันในสายเส้นเดียว ช่วยให้คุณลืมไปได้เลยกับเรื่องการต่อสายที่ยุ่งยากของโฮมเธียเตอร์ในบ้านคุณ
HDCP เป็นอีกหนึ่งคำที่คุณควรจะต้องทำความรู้จักไว้ มันย่อมาจาก High-Bandwidth Digital Content Protection เป็นมาตรฐานที่ใช้ป้องกันการก๊อบปี้หนัง Hi-Def อย่างหนึ่ง
แต่ส่งผลกับผู้ใช้ค่อนข้างมาก เพราะหลักการทำงานของมันคือการเข้ารหัสข้อมูลภาพและเสียงต่างๆ ของหนัง Hi-Def เอาไว้ ซึ่งจะสามารถถูกถอดรหัสได้ด้วยอุปกรณ์ที่สามารถรองรับกับรูปแบบ HDCP ทั้งทางฝั่งของเครื่องเล่นและฝั่งของจอภาพ ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าคุณต้องการเครื่องเล่นและจอภาพสำหรับดูหนัง Hi-Def แล้วล่ะก็ อุปกรณ์ทั้งสองชิ้นต้องได้รับการรับรองรูปแบบ HDCP ด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถถอดรหัสได้ แล้วสิ่งที่คุณจะได้แทนก็คือคุณภาพของภาพระดับดีวีดีเท่านั้น
HTPC ในดวงใจ ไม่ไกลเกินเอื้อมเราคงไม่พูดถึงเครื่องเล่นแผ่น Blu-ray ปกติกันนะครับ เพราะเท่าที่เห็นในตลาดตอนก็มีราคาอยู่ราวๆ หมื่นต้นๆ ขึ้นไปเพื่อแลกความสามารถที่เอามาเพื่อใช้ดูหนังจากแผ่น Blu-ray Disc ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงคือ การประกอบเครื่อง HTPC ขึ้นมาใช้เพื่อดูหนัง Hi-Def ภายในบ้านเอง อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่ามันมีความยืดหยุ่นในการใช้งานที่มากกว่าเป็นไหนๆ
มาถึงตรงจุดนี้ คุณอาจจะเลยไปถึงเรื่องงบประมาณที่จะใช้เพื่อซื้ออุปกรณ์คุณภาพสูงที่จะมารองรับการดูหนัง Hi-Def กันแล้วใช่ไหมครับ เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเกินเหตุ เพราะจริงอยู่ว่าการจัดสเปกเครื่องที่มีความสามารถในการดูหนัง Hi-Def ได้นั้นจำเป็นต้องใช้เครื่องที่มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูง แต่ระดับไหนล่ะที่จะถือว่าคุณไม่ได้จ่ายเงินในกระเป๋ามากเกินความจำเป็น
ประสิทธิภาพเครื่อง เรื่องสำคัญ
ถือเป็นประเด็นหลักของการจัดสเปกคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปอยู่แล้ว คำถามก็คือสเปกระดับไหนถึงจะสามารถดู Hi-Def ได้กันแน่ คำตอบที่แน่ๆ ก็คือไม่ต้องแรงขึ้นขนาดหยิบเอา Quad-Core มาใช้ให้กระเป๋าเบาเล่นๆ เน้นความคุ้มค่าควรหันไปหาซีพียู Dual Core รุ่นเล็กอย่าง Pentium Dual-Core E2xxx ก็เพียงพอต่อความต้องการแล้วเพราะอย่าลืมว่าเราเอา HTPC มาเน้นการดูหนังนะครับ ไม่ได้เอามาเล่นเกม หรือทำงานด้าน CAD/CAM ซึ่งต้องใช้ซีพียูแรงมากนัก หรือถ้าต้องการเผื่อไว้หน่อยก็แนะนำตระกูล E4xxx ที่มีราคาไม่สูงมากนักก็ได้
Intel Pentium Dual Core ราคาถูก แรงอย่างพอเพียง
เดี๋ยวนี้แรมราคาลง ซื้อไปเถอะครับ
หน่วยความจำหรือแรมนั้นยิ่งมากก็ยิ่งดี ยิ่งเดี๋ยวนี้ราคาของหน่วยความจำ DDR2 นั้นถูกมากเสียจนอยากจะซื้อมาใส่ให้เต็มสล็อตแรมบนเมนบอร์ดเสียเหลือเกิน ด้วยแรมขนาด DDR2 ขนาด 2GB ราคาคงไม่น่าจะทำให้ขนหน้าแข้งของคุณร่วงหรอกจริงไหมครับ
การ์ดจอแยกหรือออนบอร์ด
ส่วนสำคัญของ HTPC ก็คือเรื่องของระบบกราฟิก ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่รับผิดชอบใน่ส่วนของกราฟิกก็คือการ์ดจอนั่นเอง ถ้าคุณต้องการเน้นเรื่องของความประหยัด งานนี้คงหนีไม่พ้นการ์ดจอแบบออนบอร์ดล่ะครับ แต่ก็ดูอย่ามาดูถูกการ์ดจอออนบอร์ดสมัยใหม่กันนะครับ เพราะไม่เพียงแต่จะพัฒนาในเรื่องของประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นแล้วก็ยังมีพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อแบบ DVI หรือ HDMI มาให้ในบ้างรุ่นอีกด้วย จึงแทบจะบอกได้ว่าคุณไม่จะเป็นเลยที่จะต้องเสียเงินเพื่อซื้อการ์ดจอแยกราคาแพงๆ มาติดตั้งเสริมเข้าไป การ์ดจอออนบอร์ดที่เหมาะสมสำหรับการใช้เป็น HTPC ก็มีถมไป เช่นเมนบอร์ดที่ใช้ชิปเซต 690G หรือ 780G ของค่าย AMD หรือถ้าชอบค่าย Intel มากกว่าก็สามารถมองหาเมนบอร์ดที่ใช้ชิป 965G หรือ G33 ก็ได้ครับ ราคาของเมนบอร์ดเหล่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 พันบาทเท่านั้น ถือว่าราคาไม่แพงเลย หรือจะมองไปถึงรุ่นที่เป็น Intel G35 ที่ได้รับการรับรองว่าพร้อมสำหรับการดูหนัง Hi-Def ก็ได้ครับ แต่ราคาอาจจะบานปลายขึ้นไปถึงราวๆ 5 พันเลยทีเดียว
เทคโนโลยีการประมวลผล HD ของการ์ดจอแต่ละค่ายช่วยลดภาระซีพียูลงไปได้มาก
สำหรับการ์ดจอแยกนี้ ถึงแม้ผมจะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่จะเป็นเอาเสียเลย แต่ก็ถือว่าเป็นออปชันหนึ่งที่คุณสามารถเพิ่มเข้าไปได้ เผื่อว่าต้องการใช้ HTPC ตัวนี้ในการเล่นเกมด้วย และนอกจากนี้การ์ดจอแยกเหล่านี้ยังมีเทคโนโลยีเฉพาะที่ช่วยแบ่งภาระการทำงานของซีพียูในการดูหนัง Hi-Def มาได้อย่าง PureVideo ของ nVidia หรือ AVIVO ของ ATI ครับ
คุ้มหรือไม่กับไดรฟ์ Blu-ray
แม้ว่าสงครามฟอร์แมตระหว่าง Blu-ray และ HD-DVD จะยุติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างที่เราทราบกันครับว่า Blu-ray เป็นฝ่ายชนะไป ซึ่งนั่นทำให้ผู้ผลิตแผ่นหนังและผู้ผลิตอุปกรณ์มีทิศทางที่แน่นอนในการผลิตสินค้าออกมารองรับตลาดมากขึ้น แต่ถ้าใครไปเดินห้างแล้วเห็นราคาของไดรฟ์ Blu-ray สำหรับคอมพิวเตอร์ก็อาจจะต้องร้องจ๊ากก!! ด้วยราคาเหยียบหมื่น กับความสามารถในการอ่านแผ่น Blu-ray และควบรวมกับไดรฟ์ DVD-Writer ทำให้มันยังคงไกลเกินเอื้อมสำหรับใครหลายๆ คน ยิ่งถ้าเป็นไดรฟ์ที่สามารถเขียนแผ่น Blu-ray ได้ด้วยแล้วราคาก็ยิ่งสูงชึ้นอยู่ในระดับหมื่นกลางๆ อีก ประกอบกับแผ่นหนัง Blu-ray ในตอนนี้ก็ยังคงมีราคาที่ค่อนข้างแพงและหาซื้อยากอยู่ด้วย
ดังนั้นแล้วถ้าไม่ใช่แผ่น Blu-ray ทางเลือกไหนที่จะทำให้เราได้หนัง Hi-Def มาไว้ดูกัน ฮาร์ดดิสก์คงเป็นทางออกที่น่าสนใจกว่าสำหรับ HTPC เพราะจุดเด่นของมันที่เครื่องเล่นทั่วไปเทียบไม่ได้เลยก็คือขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเพิ่มเข้าไปได้มหาศาลเหมือนกับเครื่องพีซีที่เราใช้งานกันอยู่ และเดี๋ยวนี้ฮาร์ดดิสก์ขนาด 500GB ก็มีราคาอยู่ที่ราวๆ 3 พันกลางๆ เท่านั้นเอง มันจึงเป็นทางเลือกที่มองยังไงก็คุ้มค่ากว่าไดรฟ์ Blu-ray เป็นไหนๆ จริงๆ ไหมครับ ส่วนหนัง Hi-Def ที่จะเอามาใส่ในฮาร์ดดิสก์คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าจะไปหามาได้จากไหน (*0*)
LCD Monitor vs. LCD TV
ส่วนประกอบหลักอีกส่วนที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับการดูหนัง Hi-Def ก็คือ เรื่องของจอภาพ งานนี้คุณอาจจะต้องคิดหนักกันหน่อยว่าความต้องการของคุณอยู่ที่ใด ถ้าคุณเลือกที่จะใช้ LCD Monitor หรือจอสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ละก็คุณสามารถได้จอภาพที่รองรับภาพระดับ 720p ได้อย่างสบายๆ ในราคาไม่ถึงหมื่นเลยด้วยซ้ำกับจอ LCD Monitor ขนาด 20 หรือ 22 นิ้ว ที่มีความละเอียดอยู่ที่ 1680x1050 พิกเซล หรือจะเล่นจอขนาด 24 นิ้วที่มาพร้อมกับความละเอียด 1920x1200 ซึ่งเป็นความละเอียดที่สามารถรองรับกับมาตรฐาน Full HD ไม่ว่าจะเป็น 1080i หรือ 1080p ได้อย่างสบายในราคาเริ่มต้นที่หมื่นกลางๆ เท่านั้น
ประเด็นอยู่ที่ถ้าคุณต้องการใช้งานเพื่อดูหนังเป็นหลักแล้ว คุณอยากได้จอใหญ่ๆ หรือจอเล็กๆ ละครับ แน่นอนคุณไม่ได้ทำงานกราฟิก คุณไม่ได้ต้องการตัวอักษรที่คมชัด แต่คุณต้องการที่จะเอนหลังบนโซฟาที่บ้านแล้วนั่งดูหนัง Hi-Def อย่างสบายใจ คำตอบของคุณจึงน่าจะตกอยู่ที่จอ LCD TV เสียมากกว่า ข้อได้เปรียบของ LCD TV นั้นมีอยู่หลายข้อทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องของขนาดที่มีให้เลือกตั้งแต่ 32 นิ้วขึ้นไปจนถึงไปถึงระดับ 50-60 นิ้วก็มี (ถ้าคุณจ่ายไหว) ทำให้คุณได้ดูหนังได้อย่างเต็มตา และมันยังได้รับการพัฒนามาเพื่อการแสดงภาพเคลื่อนไหวโดยเฉพาะอยู่แล้ว ก็มันทีวีนี่ครับ ดังนั้นการรองรับเรื่องการดูหนังมันย่อมดีกว่าจอ Monitor อยู่แล้ว นอกจากนี้มันยังมีชุด TV Tuner ในตัวที่ให้คุณสามารถดูทีวีได้โดยไม่ต้องไปซื้อการ์ด TV Tuner มาติดในคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมด้วย
เห็นได้ชัดว่าจอ LCD TV นั้นน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากกว่าเป็นไหนๆ สนนราคาของ LCD TV รุ่นเล็กๆ ขนาด 32 นิ้วจะมีราคาเริ่มเต้นอยู่ที่ราวๆ หมื่นเจ็ดพันบาท แต่นั่นเป็นเพียงแค่จอภาพที่รองรับความละเอียด 720p หรือที่เรียกว่า HD Ready เท่านั้นไม่รองรับ Full HD ครับ ซึ่งผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วคุณคงไม่ได้ไปนั่งจ้องเม็ดสีพิกเซลบนหน้าจอเพื่อหารอยแตกของภาพในระหว่างที่กำลังดูหนังแอ็กชันสุดมันส์หรอกจริงไหมครับ
ระบบเสียง สิ่งที่ขาดไมได้
เรื่องของภาพก็ผ่านไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องเสียงกันบ้างครับ ซึ่งระบบเสียงของ Hi-Def มีความสำคัญไม่แพ้กัน คุณอาจจะคุ้นเคยกับ Dolby Surround หรือ THX หรือมาตรฐานเสียงรูปแบบอื่นๆ ที่ใช้ในโรงภาพยนตร์และแผ่นหนังดีวีดี แต่สำหรับหนัง Hi-Def แล้วมาตรฐานจะมีการเปลี่ยนไปอย่างเช่น True HD ที่ให้คุณภาพและรายละเอียดเสียงที่มากขึ้นกว่าเดิม แต่นั่นก็หมายความว่าคุณจำเป็นจะต้องใช้ภาคถอดรหัสที่รองรับด้วยเช่นเดียวกัน น่าเสียดายจริงๆ ที่การใช้ HTPC นั้นยังคงไม่สามารถถอดรหัสระบบเสียงรูปแบบใหม่ๆ นี้ได้ แต่คุณยังสามารถที่จะต่อสัญญาณเสียงเข้ากับอุปกรณ์ถอดรหัสสัญญาณที่เรียกว่า AV Receiver รุ่นที่สามารถถอดรหัส True HD ได้อยู่ แต่งบประมาณก็อาจจะบานปลายได้ เอาเป็นว่าถ้าไม่ได้เน้นเรื่องของเสียงให้มันมากนักก็ใช้ระบบเสียงธรรมดาในแบบ 5.1 ที่เราใช้กันอยู่ก็เหลือกินแล้วครับ
อุปกรณ์เสริม เพิ่มความสะดวก
ไม่เพียงแค่ส่วนประกอบที่ใช้เป็นแกนหลักในการประมวลผลภาพและเสียงเท่านั้น แต่ HTPC ยังต้องมีการออกแบบมาให้สะดวกต่อการใช้งานด้วย เพราะอย่าลืมว่าเราไม่ได้นั่งใช้งานมันบนโต๊ะนะครับ แต่เราใช้มันในห้องนั่งเล่น สิ่งแรกที่จำเป็นต้องคำนึงถึงก็คือความสวยงามของเคส บางคนอาจจะมองไปถึงเครื่อง Barebone ที่มีความกะทัดรัดและสวยงาม แต่เคสคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาสำหรับการทำ HTPC โดยเฉพาะก็มีให้เลือกมากขึ้นแล้ว แถมยังมีรีโมตคอนโทรลมาพร้อมในตัวเพื่อใช้ควบคุมส่วนของ Windows Media Center ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่อยู่ใน Windows XP MCE และ Windows Vista บางรุ่นด้วย
นอกจากนี้เมาส์และคีย์บอร์ดแบบไร้สายก็ถือว่าเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้อีกส่วนหนึ่งในการทำงานด้านอื่นๆ เช่น เล่นอินเทอร์เน็ตหรือแชตกับเพื่อนบนจอ LCD ขนาดใหญ่ในห้องนั่งเล่น น่าจะได้บรรยากาศไปอีกแบบนะครับ (*_*)
นอกจากนี้ยังมี TV Tuner ที่คุณสามารถติดตั้งเข้าไปเพิ่มในเครื่องได้อีก หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องมี TV Tuner อีก ในเมื่อตัว LCD TV ก็มีภาครับของโทรทัศน์อยู่แล้ว คำตอบก็คือถ้าคุณติด TV Tuner เอาไว้ คุณสามารถใช้รีโมทของมันมาทำงานร่วมกับฟังก์ชัน Media Center ได้ และที่สำคัญที่สุดคือคุณสามารถจะสั่งอัดรายการทีวีที่คุณชื่นชอบลงใน HTPC ได้โดยตรงอีกด้วย
สรุป
ด้วยงบประมาณเพียงแค่ 2 หมื่นต้นๆ คุณก็สามารถที่จะเป็นเจ้าของ HTPC ที่สามารถเอาไว้ดูหนังเพื่อความบันเทิงภายในบ้านได้อย่างมากยากเย็นแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าเครื่อง HTPC แบบประกอบเองนี้ยังไงก็ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พอสมควรอยู่ เพราะส่วนประกอบต่างๆ ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยกัน ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การอาศัยฟังก์ชันการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้รองรับด้านความบันเทิงเท่านั้น
ถ้าคุณต้องการให้ง่ายต่อการใช้งานจริงๆ เครื่องเล่นหนัง Hi-Def จริงๆ น่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากกว่าอยู่ดีไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปมากขนาดไหน ความต้องการของคนเราก็ยังไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนอย่างสมัยที่เปลี่ยนจากยุคของซีดีมาเป็นดีวีดี คราวนี้กลายมาเป็น Hi-Def และในอนาคตจะมีอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกบ้างก็ไม่รู้ แต่การตามติดเทคโนโลยีนั้นก็ควรมีความพอดีและสมเหตุสมผลกับสิ่งที่เราได้รับมาเพื่อที่จะได้ใช้เทคโนโลยีนั้นๆ ให้คุ้มค่าและเหมาะสมกับการใช้งานของเราให้ได้มากที่สุดครับ !
เครดิต จากเว็บ www.arip.co.th
T^T
Comment