ส่วนตัวแล้ว เสียงหนามาก เหมือน rip cd เป้น 320kbps
Announcement
Collapse
No announcement yet.
ช่วยบอกความแตกระหว่าง BOSE Companian 3 และ 5 หน่อยครับ
Collapse
X
-
ตอนนี้ใช้ C3 อยู่
ตอนจะซื้อไปลองมาทั้งสองตัว จะซื้อมาฟังเพลง
เลยจัด C3 ไปเพราะ แม้ c5 จะดูหนังได้ดี แต่ราคานี้ซื้อชุดโฮมแยกได้ชุดเล็ก ชุดนึง
ถ้าบ้านไม่มีที่ตั้ง ก็เอาไปเถอะ ไม่ผิดหวังหรอก
แต่ถ้ามีที่วางหน่อย จัดอินทริเกรท onkyo หรือมาร้านซ์ ตัวเล็กๆ 8-9 พัน + ลำโพงวางหิ้งซักคู่
แต่เสียงต่ำ C3 กินนะจ๊ะ
Comment
-
ดีนะที่ผมฟัง c5 แล้วรู้สึกว่างั้นๆ เสียงมันไม่ใช่ แล้วก้ไม่ได้ดีไปกว่า 5.1 ตัวละ 2500 ที่ผมใช้อยู่(Modแล้ว)
ไม่งั้นละเสียเงินบานแน่ๆ
เหมือนกับ เปลี่ยนสาย แล้วรู้สึกเสียงต่าง ก็โชคดีไป ถ้า เปลี่ยนเส้จแล้ว เสียงไม่ต่างจากเดิม เขาเรียกว่า เสียเงินฟรี
Comment
-
ขอตอบในฐานะเคยมีใช้อยู่ทั้ง 2 ตัวในเวลาเดียวกัน (เอ่อ...บ้าป่าวเนี่ย) แต่ขายออกไปหมดแล้วทั้ง 2 ตัวเพื่อไปอัพ HTPC
ทั้ง 3 และ 5 นั้นจัดได้ว่าบุคลิกเสียงเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือค่อนข้างละมุนละไม เกรนเสียงปรานีตละเอียดละออ ไม่โฉ่งฉ่างโป๊งชึ่ง จึงอาจขัดหูขัดใจขาร๊อคขาแดนซ์ไปบ้าง เบสอิมแพคไม่สะใจโก๋เท่าที่ควรแต่ก็เปี่ยมไปด้วยคุณภาพทุกโน๊ต
ข้อแตกต่างของ 3 กับ 5 ที่จะเห็นได้ชัดคือ C5 ตู้ Sub ยาวกว่าราว 4-5 นิ้ว ลำโพงลูกของ C5 นั้นมี Driver 2 ตัว/ข้าง หันดอกลำโพงทำมุมต่างกันด้วยวัตถุประสงค์ในการที่จะจำลองและสร้างสนามเสียงแบบรอบทิศทางมากกว่าการฟังแบบเน้น Focus หรือ Sweet Spot ซึ่งก็เป็นจุดขายหลักของ BOSE ในหลายๆรุ่น
ที่บางคนกล่าว่าหลอกหู เสียงกลวงๆก้องนั้นก็อาจเกิดจากการใช้ USB ต่อผ่านคอม ซึ่งคอมฯจะส่ง Digital Signal มาให้ Sound Processor ในตัวตู้ Sub ประมวลผล ซึ่งกรณีนี้สามารถ Disable 5.1 mode และเปลี่ยนเป็น Stereo 2 Ch. Mode ได้จากคอมฯ หรือจะเสียบสาย Analog จาก Source เข้าไปที่ Control Pod ก็จะได้สัญญาณเสียงแบบ Stereo 2 Ch โดยไม่ผ่าน Sound Processor ในตัวตู้ Sub เช่นกัน และในกรณีนี้ หากคุณภาพ Output ของต้นทางดีกว่า D/A ในลำโพง Sub ก็จะยิ่งทำให้เสียงดียิ่งขึ้น (แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก)
จากการทดลองฟัง C5 ของด็อกเตอร์เซมเบ้พบว่า เมื่อฟังแบบ Analog โดยใช้เครื่อง iMAC เป็น Source พบว่าการเสียบแจ๊คผ่าน Control Pod ให้เสียงอิ่มท้อง เอ๊ย..อิ่มหนากว่าเสียบผ่าน USB Port และดุลย์เสียงโดยรวม C5 ฟังรื่นหูกว่า C3 และ Scale เสียงของ C5 ใหญ่กว่าเนื่องจากลักษณะของดอกลำโพงและขนาดของตู้ Sub ที่ใหญ่กว่าC3 นั่นเองจ้าาาา
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมชอบ C5 มากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันดีกว่า C3 นะจ๊ะ นิยามคำว่า "ชอบ" ของแต่ละท่านนั้นแตกต่างกันไปตามรสนิยมและขรี้หูนะจ๊ะLast edited by thebm; 11 Feb 2009, 19:44:46.
Comment
-
Originally posted by thebm View Postขอตอบในฐานะเคยมีใช้อยู่ทั้ง 2 ตัวในเวลาเดียวกัน (เอ่อ...บ้าป่าวเนี่ย) แต่ขายออกไปหมดแล้วทั้ง 2 ตัวเพื่อไปอัพ HTPC
ทั้ง 3 และ 5 นั้นจัดได้ว่าบุคลิกเสียงเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือค่อนข้างละมุนละไม เกรนเสียงปรานีตละเอียดละออ ไม่โฉ่งฉ่างโป๊งชึ่ง จึงอาจขัดหูขัดใจขาร๊อคขาแดนซ์ไปบ้าง เบสอิมแพคไม่สะใจโก๋เท่าที่ควรแต่ก็เปี่ยมไปด้วยคุณภาพทุกโน๊ต
ข้อแตกต่างของ 3 กับ 5 ที่จะเห็นได้ชัดคือ C5 ตู้ Sub ยาวกว่าราว 4-5 นิ้ว ลำโพงลูกของ C5 นั้นมี Driver 2 ตัว/ข้าง หันดอกลำโพงทำมุมต่างกันด้วยวัตถุประสงค์ในการที่จะจำลองและสร้างสนามเสียงแบบรอบทิศทางมากกว่าการฟังแบบเน้น Focus หรือ Sweet Spot ซึ่งก็เป็นจุดขายหลักของ BOSE ในหลายๆรุ่น
ที่บางคนกล่าว่าหลอกหู เสียงกลวงๆก้องนั้นก็อาจเกิดจากการใช้ USB ต่อผ่านคอม ซึ่งคอมฯจะส่ง Digital Signal มาให้ Sound Processor ในตัวตู้ Sub ประมวลผล ซึ่งกรณีนี้สามารถ Disable 5.1 mode และเปลี่ยนเป็น Stereo 2 Ch. Mode ได้จากคอมฯ หรือจะเสียบสาย Analog จาก Source เข้าไปที่ Control Pod ก็จะได้สัญญาณเสียงแบบ Stereo 2 Ch โดยไม่ผ่าน Sound Processor ในตัวตู้ Sub เช่นกัน และในกรณีนี้ หากคุณภาพ Output ของต้นทางดีกว่า D/A ในลำโพง Sub ก็จะยิ่งทำให้เสียงดียิ่งขึ้น (แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก)
จากการทดลองฟัง C5 ของด็อกเตอร์เซมเบ้พบว่า เมื่อฟังแบบ Analog โดยใช้เครื่อง iMAC เป็น Source พบว่าการเสียบแจ๊คผ่าน Control Pod ให้เสียงอิ่มท้อง เอ๊ย..อิ่มหนากว่าเสียบผ่าน USB Port และดุลย์เสียงโดยรวม C5 ฟังรื่นหูกว่า C3 และ Scale เสียงของ C5 ใหญ่กว่าเนื่องจากลักษณะของดอกลำโพงและขนาดของตู้ Sub ที่ใหญ่กว่าC3 นั่นเองจ้าาาา
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมชอบ C5 มากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันดีกว่า C3 นะจ๊ะ นิยามคำว่า "ชอบ" ของแต่ละท่านนั้นแตกต่างกันไปตามรสนิยมและขรี้หูนะจ๊ะ
Comment
-
มีข้อเตือนสติกันเล็กน้อย อย่าหลงทาง อย่าหลงกระแส พ่อค้าคือพ่อค้า ม่ายช่ายพ่อเรา ฟังพ่อค้ามากๆแล้วจาหมดตรูดดดเด้อ!!!!
การตอบสนองต่อความถี่ของลำโพงและการได้ยินหูของมนุษย์นั้นมีข้อจำกัด ดังนั้นจึงอย่าคาดหวังกับการที่จะ "เล่น" กับเครื่องเคียงต่างๆ แต่หากอยากรู้อยากลอง ก็ควรคัดสรรอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า
ลำโพงวางหิ้งส่วนใหญ่มักมี Bandwidth ในการแสดงผลหรือตอบสนองความถี่อยู่ในช่วง 50Hz (เสียงต่ำ) ถึง 22,000 Khz (เสียงสูง) ซึ่งเป็นความถี่ที่มนุษย์เราสามารถบริโภคได้อย่างครบถ้วน และพอเพียงในการรับฟังเพื่อความเพลิดเพลินในบ้าน
หากลำโพงของเราซึ่งเป็นปลายทางของการแสดงผล (Output) มีประสิทธิภาพที่จะแสดงผลหรือตอบสนองความถี่ได้ที่ 18,000 KHz การที่จะซื้อ "เครื่องเคียงหรือของเล่น" ต่างๆมาเสริมเพื่อยกระดับหรือรีดเค้นให้มันมีประสิทธิภาพที่จะแสดงผลได้ที่ 22,000 Khz นั้น "เป็นไปไม่ได้" ซึ่งกรณีนี้เห็นกันอยู่บ่อยครั้งเช่น การซื้อ DAC ราคา 4-5 พัน มาใช้กับลำโพงคอมฯเกรดขยะแล้วบอกว่า "โอววววว เสียงเทพเจงๆ" นี่เป็นเรื่องอุปทานล้วนๆ เนื่องจากลำโพงนั้นมีสภาวะคอขวดตั้งแต่ไม่มี DAC อยู่แล้ว หรือ "มันห่วยตั้งแต่เกิดนั่นเอง" กรณีแบบนี้แนะนำให้ซื้อลำโพงดีๆไปในครั้งเดียวจะคุ้มค่ากว่ามาก แต่ถ้ามีตังค์เยอะๆก็ซื้อไปเหอะ เงินใครเงินมันนิ อิๆๆLast edited by thebm; 12 Feb 2009, 12:13:21.
Comment
-
Originally posted by thebm View Postมีข้อเตือนสติกันเล็กน้อย อย่าหลงทาง อย่าหลงกระแส พ่อค้าคือพ่อค้า ม่ายช่ายพ่อเรา ฟังพ่อค้ามากๆแล้วจาหมดตรูดดดเด้อ!!!!
การตอบสนองต่อความถี่ของลำโพงและการได้ยินหูของมนุษย์นั้นมีข้อจำกัด ดังนั้นจึงอย่าคาดหวังกับการที่จะ "เล่น" กับเครื่องเคียงต่างๆ แต่หากอยากรู้อยากลอง ก็ควรคัดสรรอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า
ลำโพงวางหิ้งส่วนใหญ่มักมี Bandwidth ในการแสดงผลหรือตอบสนองความถี่อยู่ในช่วง 50Hz (เสียงต่ำ) ถึง 22,000 Khz (เสียงสูง) ซึ่งเป็นความถี่ที่มนุษย์เราสามารถบริโภคได้อย่างครบถ้วน และพอเพียงในการรับฟังเพื่อความเพลิดเพลินในบ้าน
หากลำโพงของเราซึ่งเป็นปลายทางของการแสดงผล (Output) มีประสิทธิภาพที่จะแสดงผลหรือตอบสนองความถี่ได้ที่ 18,000 KHz การที่จะซื้อ "เครื่องเคียงหรือของเล่น" ต่างๆมาเสริมเพื่อยกระดับหรือรีดเค้นให้มันมีประสิทธิภาพที่จะแสดงผลได้ที่ 22,000 Khz นั้น "เป็นไปไม่ได้" ซึ่งกรณีนี้เห็นกันอยู่บ่อยครั้งเช่น การซื้อ DAC ราคา 4-5 พัน มาใช้กับลำโพงคอมฯเกรดขยะแล้วบอกว่า "โอววววว เสียงเทพเจงๆ" นี่เป็นเรื่องอุปทานล้วนๆ เนื่องจากลำโพงนั้นมีสภาวะคอขวดตั้งแต่ไม่มี DAC อยู่แล้ว หรือ "มันห่วยตั้งแต่เกิดนั่นเอง" กรณีแบบนี้แนะนำให้ซื้อลำโพงดีๆไปในครั้งเดียวจะคุ้มค่ากว่ามาก แต่ถ้ามีตังค์เยอะๆก็ซื้อไปเหอะ เงินใครเงินมันนิ อิๆๆ
แต่ถ้ามีตังค์เยอะๆก็ซื้อไปเหอะ เงินใครเงินมันนิ
โดนใจมากครับ
- ใช่แล้ว การได้ยินของแต่ละคนก็แตกต่าง ลำโพงคอม เกรดต่ำ มาใช้กับอุปกรณ์ของเกรดสูง ถึงจะดีขึ้น เสียงที่ได้ยังไงมันก็ติด ขีดจำกัดของลำโพงอยู่ดี แต่ถ้ามีตังค์ไม่สนซะอย่างอยู่แล้ว อิอิๆ
Comment
Comment