ระบบเสียงรอบทิศทางในหูฟังเกมมิ่งเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจในช่วง 2-3 ปีตามความนิยมของเกมแนว Survival แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นระบบเสียงแบบจำลองหรือ Virtual ซึ่งหูฟังเกมมิ่งแบบ 7.1 แท้ๆ อาจจะหาซื้อไม่ได้แล้ว แถมมีน้อยรุ่นมากในตลาด ดังนั้นการเข้าสู่ตลาดของหูฟัง ROG Theta 7.1 จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
เกมจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันสนับสนุนระบบเสียงรอบทิศทางอย่างพวก Dolby Atmos ขณะที่ระบบปฏิบัติการเองก็สามารถเปิดใช้ระบบเสียง Dolby Atmos for headphones ด้วยเช่นกัน (ต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม) ทว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่มักไม่ได้เปิดใช้มัน เพราะว่ามันมีทางเลือกที่ง่ายกว่าก็คือ การซื้อ USB DAC หรือหูฟัง USB ที่ทำหน้าที่จำลองเสียงเหล่านั้นแทน ในกรณีของหูฟัง ROG Theta 7.1 เสียงรอบทิศทางจะถูกจัดการด้วยการจัดเรียงตำแหน่งไดรเวอร์ในส่วนของด้านหน้า ด้านข้าง ตรงกลางและหลัง โดยอาศัยชิป DAC 7.1 เกรดเดียวกับที่ใช้ในระบบโฮมเธียเตอร์พร้อมด้วยภาคขยายเสียง ESS 9601 อีก 4 ชุด ทำหน้าที่ประมวลผลและขับเสียงออกไปยังไดรเวอร์ทั้ง 8 ตัว
Specifications
- Driver Front : 40 mm, Center : 30 mm, Side : 30 mm, Rear : 30 mm
- Driver material : Neodymium magnet
- Impedance 32 Ohm
- Microphone boom : Uni-directional
- Sensitivity -40 dB ± 3 dB
- Connector: USB, USB C
- USB-C cable: 1.2M, USB 2.0 cable: 1M
- Weight: 650 g.
- Accessories: Detachable microphone, User guide
ROG Hybrid ear cushion, USB-C to USB 2.0 (Type-A) adapter
- Platform PC, MAC, Mobile device, PlayStation 4, Nintendo Switch
- AI Noise Cancellation
ใช้ไดรเวอร์แบบผสมผสาน
ไม่ใช่แค่เรื่องของไดรเวอร์ที่มีจำนวนมากกว่า แต่ไดรเวอร์เล็กๆ ที่เห็นเหล่านั้นเป็นไดรเวอร์ Electret ซึ่งมันต่างจากไดรเวอร์แบบไดนามิกมาตรฐานที่ใช้ในหูฟังทั่วๆ ไปพอสมควร ด้วยคาแรคเตอร์เสียงของไดรเวอร์ Electret จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมในการพัฒนาใช้ในหูฟัง และที่เห็นไดรเวอร์ขนาดใหญ่นั่นก็คือ ไดรเวอร์แบบไดนามิกที่เข้ามาเพิ่มมวลเสียงเบสและทำหน้าที่จำลองซับวูฟเฟอร์ด้วยการขับความถี่ 20-7500 Hz ออกมา
เอาจริงๆ แล้วในโลกของหูฟัง การใช้ไดรเวอร์แบบ Dual ก็ยังเป็นเรื่องยากในการจะทำให้ไดรเวอร์ทั้งสองทำงานได้อย่างถูกต้อง ยิ่งการใช้ไดรเวอร์ Electret ผสมกับไดรเวอร์ Dynamic ก็ยิ่งเป็นความท้าทายอย่างมากเช่นกัน ซึ่งเราเห็นว่า Asus มีความพยายามอย่างมากในเรื่องนี้ หรือจะมองอีกมุมหนึ่งก็คือ พวกเขาต้องการดึงเอาโลกของ Audiophile เข้ามาสู่โลกของเกมเมอร์ จะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ได้รางวัล iF Design Award 2019 มาแปะหน้ากล่องก็แล้วก็ัน
ดีไซน์ยิ่งใหญ่ แน่นหนาอลังการ
แม้ว่าจะดูใหญ่และเทอะทะ แต่โครงสร้างของหูฟังก็สามารถปรับเข้ากับรูปศรีษะของผู้ใช้ได้ดี บิดซ้ายขวาได้เล็กน้อย ก้มเงยได้อย่างไร้ปัญหา ปรับระดับความสูงได้อย่างสะดวก มีโฟมรองรับศรีษะลดการกดทับ ตัวเอียร์ครัชชั่นเองก็มีความหนาและอ่อนนุ่มในระดับที่ดี แถมยังมีรายละเอียดในเรื่องการออกแบบให้ลดการกดทับของผู้ใช้แว่นตา โดยที่ทรงของเอียร์ครัชชั่นก็เป็นทรง Reverse D-shape ซึ่งมันไม่บีบรัดแก้มของผู้สวมใส่
วัสดุที่ใช้หุ้มเอียร์ครัชชั่นเองก็ผลิตจากหนังสังเคราะห์และใช้ผิวหน้าเป็นผ้า ซึ่งช่วยลดความร้อนสะสมลงไปได้มากเมื่อเทียบกับวัสดุหนังสังเคราะห์ หากคุณไม่ชอบ ในชุดอุปกรณ์ก็ยังมีเอียร์ครัชชั่นอีกคู่ที่เป็นแบบผ้าล้วนให้เลือกเปลี่ยน
คอนโทรเลอร์ควบคุมเสียงหรือการเชื่อมต่อจะอยู่ฝั่งซ้ายบริเวณสันหูฟัง โดยใช้ปุ่มจ็อกกิ้งในการเพิ่มลดเสียงและปิดไมโครโฟนแบบถอดได้ นอกจากนั้นยังเห็นว่า มันมีสวิทช์เลือกโหมดระหว่างเครื่องพีซีและสมาร์ทโฟน สังเกตดีๆ สันหูฟังจะช่องระบายอากาศอยู่หลายจุด ซึ่งจะทำหน้าที่ทั้งระบายความร้อนและอากาศที่เกิดจากแรงดันของไดรเวอร์ กลับมาที่เรื่องสวิทช์นิดนึง ในกรณีที่เราลืมปรับกลับมาที่ PC/NB โดยค้างไว้ที่ Phone แล้วเชื่อมต่อกับพีซี เสียงของหูฟังยังคงทำงานต่อไปได้ ทว่าระบบเสียง 7.1 ช่องทางจะไม่ได้เปิดใช้งานหรือเข้าไปปรับหรือเปิดใช้งานไม่ได้ในซอฟต์แวร์
นอกจากนั้น ทั้งสองฝั่งของหูฟังจะมี Aura RGB Lighting เป็นรูปดวงตา ROG ตรงนี้ปรับแต่งสีสัน เอฟเฟ็กต์ในการแสดงผลผ่านซอฟต์แวร์ Amoury II โดยสามารถกำหนดพรีเซ็ตเอฟเฟกต์ได้ 4 แบบ เช่น Static, Breathing, Color Cycle, Music ส่วนสีก็เลือกได้อิสระ
ไมโครโฟนเป็นแบบถอดออกได้ ความยาวพอประมาณ ปิดงอตัวได้อย่างยืดหยุ่น มีระบบตัดเสียงรบกวนด้วยการใช้ AI ที่แปลกเล็กน้อยก็คือ ขณะใช้งานจะไม่มีไฟ LED ติด จะติดเมื่อทำการ Mute มัน
เชื่อมต่อได้เกือบทุกแพลตฟอร์ม
นี่คืออีกจุดเด่นของหูฟังตัวนี้ แม้ว่าข้างกล่องจะระบุว่า Every Platform แต่เราแยกทางฝั่ง iOS และ Mac ออกมา เนื่องจากเราไม่แน่ใจว่าจะใช้งานได้ไหม จึงอนุมานว่า เกือบก็แล้วกัน ส่วน PS4 หรือ Nintendo Switch สามารถใช้งานได้ เนื่องจากเรามีอุปกรณเหล่านั้นอยู่ ส่วนสมาร์ทโฟนก็ใช้งานกับ Huawei P20 ได้เช่นกัน (อื่นๆ ไม่ยืนยัน) ขณะที่สายสัญญาณ ทางฝั่ง USB C ที่เชื่อมต่อจากหูฟังเลยจะมีความยาว 1 เมตร ตรงนี้ใช้งานได้ไม่มีปัญหา ส่วนทางฟากสาย USB-A จะเป็นสายแปลงไปอีกต่อ ส่งผลให้มันมีความยาวทั้งหมด 2.2 เมตร การใช้งานกับเครื่องเกมคอนโซลก็อยู่ในระยะที่ยอมรับได้ หากว่าคุณไม่ได้ใช้จอทีวีขนาดใหญ่มากๆ เกินกว่า 50 นิ้ว แต่โดยส่วนใหญ่หูฟังก็มีสายยาวอยู่ในช่วง 1.8- 2.2 เมตรทั้งสิ้น
ปรับได้ แต่ไม่มากพอ
จากที่เห็นดีไซน์หูฟังทั้งด้านแนวคิดและเชิงวิศกรรม เราก็คาดหวังว่า หูฟังจะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ปรับแต่งที่ยืดหยุ่นหรือมีศักยภาพทางด้านเสียงมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นถ้าในกรณีที่คุณไม่ใช่นักฟังเพลงตัวยงและเป็นคอเกมมากกว่า ฟีเจอร์เหล่านี้ถือว่า เพียงพอต่อความจำเป็นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับ Sound optimization ให้เหมาะกับการช้งาน การเปิดปิดเซอร์ราวน์ด การเพิ่มมิติของเสียงผ่าน Reverb ที่จำลองเสียงในสภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงการปรับอื่นๆ จำพวก Bass Boost และการสังเคราะห์เสียงให้กับไมโครโฟน
การปรับที่ละเอียดลงไปยังทำได้ อย่างเช่นการปรับเพิ่มลดระดับความดังเสียงของไดรเวอร์ในตำแหน่งต่างๆ ผ่าน 7.1 Volume Control หรือการปรับแต่ EQ ที่มีทั้งสำเร็จรูปตามแนวเพลง รวมถึงปรับแต่งเองตามใจชอบ ส่วนเรื่องการปรับแต่งไฟสีจะอยู่ในรายการเมนู Lighting ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา มีเอฟเฟ็กต์ให้เลือกใช้นิดหน่อย ปรับสีไฟได้อิสระ 16.7 ล้านสี การใช้งานสะดวกและง่าย
บทสรุปในเรื่องของเสียง
ถึงจะเป็นหูฟังเกมมิ่งแบบเต็มตัว แต่เราก็ทดลองฟังเพลงด้วยเช่นกัน ผลที่ได้ก็คือ ดีที่สุดเท่าที่เคยฟังมาสำหรับหูฟังเกมมิ่ง (ไม่นับรวมหูฟังของ Senheiser รุ่นสูงๆ หรือทางฝั่ง BayerDynamic ที่ยังไม่เคยได้ฟังแบบนานๆ) ถึงอย่างนั้นก็ต้องออกตัวก่อนว่า เราไม่ได้เป็นนักฟังเพลงระดับ Audiophile ดังนั้นสัมผัสในเชิงรายละเอียดต่างๆ จึงไม่ได้เฉียบคมหรือลึกซึ้ง แต่การฟังเพลงทั่วไปจาก Youtube, Vevo หรือ Spotify มันให้รายละเอียดของเสียงได้ดีมาก เหมือนกับเราได้ฟังเพลงใหม่ที่แม้เราจะฟังแล้วซ้ำๆ มีเสียงบางอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ชัดขึ้น มิติของเสียงกว้างจนน่าแปลกใจ ตรงนี้เราทำการฟังโดยทำการเปิด EQ แบบ Default และลดช่วงความถี่ 8K และ 14K ลงเล็กน้อย รวมถึงปิดการสังเคราะห์เสียงอื่นๆ ทั้งหมด เนื่องจากย่านเสียงเบสเดิมๆ ก็ถือว่าหนักแน่นกำลังดีและลงได้ลึก เสียงกลางเด่นชัดในระดับที่พอดี จะมีมากไปนิดก็ในส่วนของเสียงสูง
ส่วนการเล่นเกมบนเครื่องพีซีและเปิดใช้งานระบบเสียงรอบทิศทาง แน่นอนว่า มันบ่งบอกทิศและระยะห่างได้ชัดเจน ถ้าเป็นเกมแนว Survival ถือว่า ช่วยให้คุณสัมผัสถึงฝีเท้าศัตรูได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องอรรถรส ตรงนี้ถือว่ายอดเยี่ยมสมกับเป็นหูฟัง 7.1 แต่ถ้าคุณไปอยู่ในดงศัตรูหรือขณะที่ทีมไฟต์มันก็อาจทำให้คุณปวดหัวเอาง่ายๆ เพราะไม่ว่าเสียงระเบิดตรงนั้น ตรงนี้ เสียงปืนวิ่งผ่านหัว เพื่อนยิงกันข้างๆ กระหึ่มไปหมด ดังนั้นถ้ามันมากเกินไปขอให้แนะนำให้ไปปรับระดับความดังของแต่ละทิศทางซะ ส่วนการชมภาพยนต์หรือซีรีส์ใน Netflix เราไม่ขอวิจารณ์อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะมันทำได้ดี ถ้าจะให้แนะนำก็คือ อย่าลืมเปิดโปรไฟล์ Movie เพราะมันจะทำให้ระยะการกำเนิดเสียงคมมากขึ้น รับรู้ถึงอรรถรสของเสียงที่ผู้สร้างภาพยนต์สรรสร้างให้ผู้ชมได้เกือบสมบูรณ์แบบ สรุปดูซีรีส์ได้อย่างมีความสุขครับ
หนักไปนิด แต่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวๆ
น้ำหนักที่มากถึง 650 กรัม แต่เมื่อสวมใส่แล้วมันไม่ได้กดทับศรีษะด้านบนหรือรู้สึกว่าหนักจนรู้สึกแย่ น้ำหนักนี้มันมีผลจริงๆ ก็เมื่อคุณหันศรีษะเร็วๆ หูฟังจะขยับจนเหมือนจะหลุดจากหัว ความสบายในการสวมใส่ถือว่า ทำได้ดีจนน่าแปลกใจ แม้คนที่มีศรีษะกว้างราว 17 เซนติเมตรก็ยังใส่ได้โดยไม่ได้มีการกดทับใบหูหรือกดขมับในระดับที่มากเกินไป จนบางครั้งรู้สึกว่าหลวมไปนิดด้วยซ้ำ ตรงนี้ก็เพราะว่า หูฟังสามารถปรับให้เข้ารูปใบหน้าได้ดี ก้านคาดไม่ได้มีแรงกดมากนัก ขณะที่เอียร์ครัชชั่นเองก็หนาและนุ่ม ตรงนี้ช่วยให้สวมใส่นานๆ ได้อย่างไม่เกิดปัญหาอะไร แถมเอียร์ครัชชั่นทรง Reverse D ก็ช่วยให้บริเวณแก้มรู้สึกสบายอีกต่างหาก
Conclusion
ไดรเวอร์ทั้ง 8 ตัวของหูฟังมีการทำงานที่กลมกลืนกันมาก อันนี้ต้องชื่นชมเลย มิติเสียงรอบทิศทางหรือการตอบสนองย่านความถี่ต่างๆ นั้นทำได้ดี ถ้าเอาเฉพาะมุมมองในการเล่นเกม เราเชื่อว่า มันอยู่ในระดับท็อปได้อย่างไม่ยากเย็นเลย ส่วนไมโครโฟนก็ถือว่าทำได้ตามมาตรฐาน ยิ่งมีการปรับลดเสียงรบกวนความถี่บางช่วงมันก็จะขาดหายไป แต่การสื่อสารร่วมกับทีมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ฟังถนัดชัดเจน อย่างไรก็ดี หูฟังตัวนี้ก็ไม่เหมาะต่อการใช้งานแบบพกพาเท่าไหร่นัก ไม่ใช่แค่เรื่องขนาดที่ใหญ่โต น้ำหนักมาก แต่มันเป็นเรื่องเสียงที่ลอดออกมาภายนอกในระดับที่คนข้างๆ รู้เลยว่า คุณฟังอะไรอยู่ ดังนั้นแนะนำฟังอยู่กับบ้านหรือในสถานที่ส่วนตัวจะดีกว่า
และหากใครที่ข้ามมาอ่านบทสรุปเลย เราแนะนำให้ขยับขึ้นไปอ่านบนอีกสักนิด เพราะสิ่งที่คุณมองหาอาจไม่ได้อยู่ในพารากราฟนี้