ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านหน่วยความจำรายอื่นกำลังทำกำไรจากราคาที่พุ่งสูงเพราะกระแส AI ญี่ปุ่นอย่าง Kioxia กลับยังต้องรอการฟื้นตัวอยู่ ในรายงานผลประกอบการล่าสุดวันที่ 13 พฤศจิกายน บริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปีงบประมาณ 2025 (กรกฎาคม–กันยายน) อยู่ที่ 40.7 พันล้านเยน ลดลงถึง 62% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
Nikkei ระบุว่า แม้ความต้องการหน่วยความจำในดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อ AI จะพุ่งแรง แต่กำไรไตรมาสล่าสุดของ Kioxia ก็ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ (คาดไว้ 47.4 พันล้านเยน) อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าบริษัทอาจแตะ “จุดต่ำสุด” แล้ว หลังจากกำไรร่วงหนักถึง 74% ในไตรมาสก่อนหน้า
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมชี้ว่าการพลาดเป้ากำไรครั้งนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงของส่วนผสมสินค้า โดยความต้องการสมาร์ตโฟนตามฤดูกาลทำให้สินค้ากลุ่มสมาร์ตดีไวซ์ ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่า คิดเป็นถึง 35% ของยอดขายทั้งหมด อย่างไรก็ดี เมื่ออุปทานเริ่มตึงตัวและสัดส่วนกลับไปที่สินค้ากำไรสูงอย่าง SSD สำหรับเซิร์ฟเวอร์และพีซี ก็มีแนวโน้มว่ากำไรจะฟื้นตัวตามมา
แม้กำไรระยะสั้นจะถูกกดดัน แต่ Kioxia ยังคงส่งสัญญาณเชิงบวกสำหรับไตรมาสถัดไป บริษัทคาดว่ายอดขายรายไตรมาสจะทำสถิติสูงสุดใหม่ และกำไรจะฟื้นตัวแรงในไตรมาส 3 ปีงบ 2025 หนุนโดยราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่สูงขึ้นและความต้องการ NAND ที่มาจากงาน AI
บริษัทคาดว่ายอดขายจะเติบโตแบบไตรมาสต่อไตรมาส 12–23% ไปอยู่ที่ 500–550 พันล้านเยน จากเดิม 448.3 พันล้านเยน ขณะที่กำไรสุทธิแบบ Non-GAAP จะพุ่ง 46–113% ไปที่ 61–89 พันล้านเยน
แนวโน้มในอนาคต
สำหรับตลาด NAND โดยรวม Kioxia คาดว่าความต้องการจะสูงกว่าอุปทานในปี 2025 ทำให้ bit growth อยู่ในช่วง “กลางหลักสิบเปอร์เซ็นต์” และจะเร่งขึ้นไปอยู่ในช่วง “ปลายหลักสิบเปอร์เซ็นต์” ในปี 2026 จากภาวะอุปทานที่ตึงตัวมากขึ้น
Kioxia ระบุว่า เทคโนโลยี BiCS Flash เจเนอเรชัน 8 จะเป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการด้าน AI ตั้งแต่ต้นปี 2026 ขณะเดียวกันการผลิตจำนวนมากของ SSD แบบ QLC ความจุ 245TB และการเปิดตัว BiCS Flash เจเนอเรชัน 10 ก็อยู่ในแผนเช่นกัน
ตามรายงานของ Bloomberg ก่อนหน้านี้ Kioxia คาดว่าความต้องการ NAND จะเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 20% จากการขยายตัวของงาน AI ในดาต้าเซ็นเตอร์
เพื่อตอบรับการเติบโตนี้ บริษัทได้ประกาศเริ่มดำเนินงานโรงงานใหม่ Fab 2 (K2) ที่โรงงาน Kitakami จังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น โดยสายการผลิตของ Fab2 จะเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามสภาวะตลาด และคาดว่าจะเริ่มมีผลผลิตในระดับ “มีนัยสำคัญ” ได้ในครึ่งแรกของปี 2026
ที่มา: TrendForce



