สหภาพยุโรป (EU) ได้ปรับปรุงกฎระเบียบ Energy Labeling และ Ecodesign Regulation อีกครั้ง โดยออกกฎหมายใหม่กำหนดว่า ตั้งแต่ปี 2028 เป็นต้นไป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดที่วางขายในสหภาพยุโรป จะต้องใช้อะแดปเตอร์จ่ายไฟ (External Power Supply - EPS) แบบพอร์ต USB-C และต้องมีสายที่ถอดเปลี่ยนได้
อนาคตไม่ว่าจะเป็น เครื่องเล่นเกม, จอภาพ, เราเตอร์, กล่องทีวี, อุปกรณ์ PoE (จ่ายไฟผ่านสาย LAN) ทั้งหมดต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบจ่ายไฟผ่าน USB-C แบบเดียวกัน
เป้าหมายของกฎใหม่
ตามรายงานของ Tom’s Hardware กฎหมายนี้มุ่งเน้นไปที่ แหล่งจ่ายไฟภายนอก (EPS) โดยมีจุดประสงค์เพื่อ
-ทำให้ใช้งานร่วมกันได้ (Interoperability)
-เพิ่มความยั่งยืน (Sustainability)
-ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์
ในอนาคต อุปกรณ์หลายชนิดในบ้านอาจใช้แหล่งจ่ายไฟ EPS ตัวเดียวร่วมกันได้ ไม่ต้องมีหัวชาร์จหลายแบบอีกต่อไป
รายละเอียดข้อบังคับสำคัญ
ตั้งแต่ปี 2028 เป็นต้นไป
-อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ขายใน EU และมีการใช้พลังงานไม่เกิน 240W
-ต้องรองรับมาตรฐาน USB Power Delivery (USB-PD)
-พอร์ตชาร์จและสายต้องระบุ กำลังวัตต์ที่รองรับไว้อย่างชัดเจน
-EPS ต้องจ่ายไฟได้ เสถียร ไม่ดรอปแรงดัน ไม่หลอกตัวเลข
อุปกรณ์ที่ “ไม่” อยู่ภายใต้กฎหมายนี้
-เครื่องสำรองไฟ (UPS)
-อุปกรณ์ทางการแพทย์
-สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า / จักรยานไฟฟ้า
-ระบบไฟฉุกเฉิน
-อุปกรณ์ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมชื้น
ข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพเพิ่มเติม (เริ่มปี 2028)
-EPS ที่มีกำลังเกิน 10W ต้องมี “ประสิทธิภาพเฉลี่ย” และ “ประสิทธิภาพขณะสแตนด์บาย” ที่เข้มงวดขึ้น
-แท่นชาร์จไร้สาย ต้องมี การใช้พลังงานขณะไม่ได้ชาร์จต่ำลง
-วงจรไฟของแท่นชาร์จไร้สายต้อง ออกแบบให้ถอดเปลี่ยนได้ เพื่อให้นำไปใช้ซ้ำหรือเปลี่ยนได้ง่าย
ผลกระทบระดับโลก
ตลาด EU ใหญ่พอที่จะ “บังคับ” ผู้ผลิตทั่วโลก
-หากอยากขายในยุโรป ต้องปรับดีไซน์สินค้าให้ตรงตามข้อกำหนด
-ถ้าไม่ยอมปรับ = ต้องยอมทิ้งตลาดยุโรป
ดังนั้น คาดว่าในช่วงปี 2028 เป็นต้นไป ผู้ผลิตทั่วโลกจะเปลี่ยนมาใช้ USB-C เป็นมาตรฐานกลางอย่างแพร่หลาย
ข้อสรุปเชิงความเห็น
พูดกันตรง ๆ …
EU ผลักดัน USB-C ได้ดีกว่าองค์กรออกมาตรฐานอย่าง USB-IF เสียอีก
ถ้า EU ไม่ออกกฎบังคับ Apple ก็คงไม่ยอมเปลี่ยนมาใช้ USB-C ใน iPhone อย่างแน่นอน!
ที่มา: HKEPC