ปัจจุบันนี้ขนาดของข้อมูลก็ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะพวกไฟล์ที่เกี่ยวกับ Multimedia ทั้งหลาย บางทีถ้าเรากดไปดูขนาดแล้วอาจจะตกใจเลยก็เป็นได้ หรือไม่ก็เกมที่เราได้เห็นกินพื้นที่ระดับ 100GB เป็นเรื่องปกติกันไปแล้ว .. เพราะเช่นนั้นขนาดของ Storage ที่เอามาเก็บนั้นก็ต้องมีมากขึ้น
สำหรับตามบ้านแล้ว เราอาจจะเห็นความจำเป็นแค่สองอย่างนี้ เพราะทุกอย่างมันย้ายไปอยู่บน Cloud แทบจะทั้งนั้น แต่ถ้าลองมองอีกแง่ ก็คือไฟล์ที่คุณอัปเข้าไปอยู่บน Cloud ทั้งหลาย มันก็ต้องมีที่เก็บเหมือนกัน ทำให้ผู้ที่ต้องแบกรับภาระในด้าน Storage จะกลายเป็นผู้ให้บริการ Cloud Service เหล่านี้แทน
ล่าสุดนี้เราได้เห็นรายงานจาก Pure Storage ซึ่งเป็นบริษัท Supplier ของอุปกรณ์ Flash Storage ทุกรูปแบบ โดยเขาได้ออกมาบอกว่าอุปกรณ์ประเภท Proprietary Direct Flash Module (DFM) SSD ของเขาจะสามารถเพิ่มความจุได้ 6 เท่าภายในอีกไม่กี่ปี และในช่วงปี 2026 นี้จะเห็นขนาดได้ถึง 300TB
สาเหตุหลักๆมาจากการพัฒนาของตัวเทคโนโลยี 3DNAND ที่เพิ่ม Layer เข้าไปได้อีก .. ซึ่งปัจจุบันนี้ทางบริษัทนั้นก็ได้ส่งมอบ DFM Drive ในขนาด 24TB และ 48TB อยู่ แต่ถ้ามีการใช้ 3DNAND ที่ซ้อน Layer ได้มากขึ้น ความจุนั้นก็จะเพิ่มแบบทวีคูณเข้าไปเลย
Storage ประเภท DFM นี่นริงๆมันก็คือ FlashArray หรือ FlashBlade Storage System ซึ่งก็เป็น SSD ประเภทนึง รูปร่างหน้าตาของมันก็จะเป็นแบบ Ruler form factor หรือยาวแบบไม้บรรทัด เพื่อเอาไว้ใส่กับตู่ Server ทั้งหลาย แต่การเชื่อมต่อนั้นก็ยังคงเป็นมาตรฐาน U.2 ที่เป็น NVMe คล้ายๆกับที่เราใช้ในคอมบ้าน เพียงแค่มันต้องใส่กับเครื่องเฉพาะของมัน สิ่งที่แตกต่างก็คือตัว Controller ภายในนั้นจะเป็น Enterprise Grade มีความทนทานมากกว่า และตัว NAND Flash จะเป็น 3D TLC หรือ QLC ในแบบ 112-160 Layer สำหรับขนาดที่ขายอยู่ในปัจจุบัน และในอีก 5 ปีนั้นก็จะสูงขึ้นได้ถึง 400-500 Layer กันเลยทีเดียวครับ
Roadmap ของตัว 3DNAND นั้นก็ดูแล้วจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะภายในปีนี้เองก็มีกำหนดการว่าจะขยับไปที่ 200 Layer, ในปี 2025 ที่ 300 Layer และ 400 Layer ในปี 2027 ซึ่งความจุก็จะเพิ่มตามจำนวน Layer ที่ใส่เข้ามาด้วย .. แต่ทาง Pure Storage ยังใช้วิธีการอื่นเข้ามาเพิ่มความจุอีก นั่นก็คือการออกแบบแผงวงจรที่สามารถวางจำนวนเม็ด NAND Flash ได้มากขึ้น ในพื้นที่จำกัดเท่าเดิม และนอกจากนั้นก็ยังต้องมี Controller ที่ออกแบบมาใช้คู่กันอีกด้วยฃ
ข่าวนี้ถ้าจะว่าสำหรับคนทั่วไป มันก็อาจจะดูไกลตัวซักหน่อยครับ เพราะว่ามันเป็นสินค้าระดับ Enterprise Grade แต่อย่าลืมไปว่าทุก Hardware ที่คุณใช้กันอยู่ในคอมบ้านทุกวันนี้ มันก็คือสิ่งที่อยู่ใน Enterprise Grade มาก่อนทั้งนั้น พอสามารถปรับต้นทุน และผลิตได้เป็นจำนวนมาก มันก็จะเริ่มเข้าสู่ตลาด Consumer แบบเราๆนั่นแหละ
ข้อมูล : Tom's Hardware