ตลาด CPU หรือ Central Processing Unit นั้น เป็นอะไรที่ตอนนี้ดูจะหลากหลายมากขึ้น เพราะแต่ละเจ้าก็พยายามจะผลิต Processor ของตัวเองขึ้นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบ CPU ที่เราคุ้นเคยกัน หรือจะเป็น SoC ก็ตาม และก็ยังมีประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการค้าของโลกตะวันตกอย่างเช่น จีน และ รัสเซีย พยายามผลิตชิปใช้กันเองด้วย .. แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับ ว่าถ้าเราพูดกันถึงคำว่า "CPU" เนี่ย มันจะต้องมีอยู่สองยี่ห้อที่คนคุ้นชินมากที่สุด นั่นก็คือ "Intel" และ "AMD" ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องคอมมากก็อาจจะคุ้นกับ Intel มากกว่า เพราะว่าสินค้ามีให้เลือกหลากหลายมากกว่า และยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงกว่ามากด้วย
จะว่าไปแล้ว Intel ก็เป็นแบรนด์ที่ยังคงใหญ่ที่สุดในโลกถ้าเราพูดกันถึง CPU แบบเพียวๆ เพราะส่วนแบ่งการตลาดที่เขาทำได้นั้นสูงกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆอยู่หลายเท่าตัว ทำให้ Brand Awareness ของเจ้านี้จัดว่าทำได้ดี จนคนทั่วๆไปนอกวงการไอทีก็รู้จัก .. แต่ถ้าสำหรับคนในวงการคอมแล้ว ก็น่าจะพอเห็นภาพกันบ้างว่าตอนนี้ Intel อาจจะไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน
สาเหตุหลักๆที่ Intel เฟื่องฟูในช่วงหลายปีที่แล้วก็คงจะเป็นเพราะว่าสินค้าของตัวเองนั้นล้ำหน้ากว่าของคู่แข่งอยู่หลายขุม ทำให้สามารถตีตลาดได้ทุก Segment ตั้งแต่ล่างยันบน .. แต่ที่บอกว่าล้ำหน้านั้นไม่ใช่เพราะว่า Intel ดีเลิศอะไรนะครับ เพราะ Intel เองก็ไม่ได้มีการพัฒนาครั้งใหญ่มาหลายปีเหมือนกัน จนก่อนจะถึงยุคของ Gen 12 เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง และสาเหตุที่ Intel ไม่จำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมอะไรมาก ก็เป็นเพราะว่าคู่แข่งของ Intel อย่าง AMD ในช่วงนั้น ไม่มีสินค้าตัวไหน ที่จะเทียบเคียงด้านประสิทธิภาพได้เลย .. หรือถ้าให้พูดง่ายๆก็คือ Intel เป็นเจ้าตลาดได้เพราะไม่มีคู่แข่งเจ๋งๆนั่นแหละครับ
แต่ช่วงไม่กี่ปีหลัง เราได้เห็น Intel เจอกับด้านลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการมาถึงของ Apple Silicon ของแบรนด์ผลไม้เจ้าใหญ่ ที่หันไปผลิตชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ของตัวเอง กับตระกูล Apple M1 และเปลี่ยนไปใช้พื้นฐานสถาปัตยกรรม ARM จากที่เมื่อก่อนนั้น Apple ก็ใช้หน่วยประมวลผลของ Intel x86 มาตลอด .. และอีกฝั่งนึงก็คือ AMD ที่ตอนแรกเรียกว่าเทียบเคียง Intel ได้ยาก กลับมาทำประสิทธิภาพได้ดีขึ้นอย่างน่าประทับใจในรุ่นหลังๆ ประมาณว่าพอสู้กับของฝั่ง Intel ได้แล้วก็ไม่ผิดอะไร
วันนี้เราจึงจะมาว่ากันเรื่องส่วนแบ่งการตลาดของทาง Intel ซักหน่อยครับ .. ข้อมูลล่าสุดนี้มาจาก Mercury Research ที่ได้มีการโพสต์ข้อความลง Twitter ว่า AMD นั้นได้มีการดึงส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) มาจาก Intel ได้พอสมควรในช่วงปีที่ผ่านมา จากตอนแรกในช่วง Q1 ของปี 2022 ทาง AMD นั้นมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 27.7% และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ที่เพิ่งหมดไปนั้น มีการเติบโตขึ้นมาอยู่ในระดับที่ 34.6% ซึ่งนับเป็นตัวเลขแล้วก็คือ 6.9% เลยทีเดียว
ส่วนของทาง Intel นั้นก็ร่วงลงมาจาก 72.3% มาเหลือ 65.7% ที่ดูแล้วเป็นตัวเลขที่น่าตกใจพอสมควรสำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ .. แต่ถ้าเรามามองกันในแบบตลาดโดยรวม ก็จะเห็นว่า Intel นั้นยังคงถือครองตลาดอยู่ในระดับ 2/3 สำหรับกลุ่ม Processor แบบ x86 .. ซึ่งส่วนแบ่งการตลาดที่เอามาวิเคราะห์ในวันนี้ก็จะมาจากของ Processor ทั้งหมดที่มีขายในตลาดเลย เพียงแค่ไม่แน่ใจว่าของ AMD ที่เอามานับรวมนั้น รวมไปถึงที่ AMD ขายให้กับ Microsoft และ Sony ในเครื่อง Console ทั้งหลายด้วยหรือเปล่า
ในกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น Server อันนี้ก็ดูเหมือนจะมีการเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันครับ ตรงนี้ AMD ก็ได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเข้ามาประมาณ 6.3% ขึ้นมาจาก 11.6% เป็น 18% ในปีนี้ แต่ตลาดตรงนี้ทาง Intel ยังถือครองอยู่ทั้งหมด 82% .. อันนี้อาจจะดูไม่ได้เป็นข้อมูลที่สำคัญอะไรมาก แต่ก็เป็นสัญญาณให้เห็นเหมือนกันว่าผู้ประกอบการทั้งหลายนั้น "เริ่ม" ไว้ใจ AMD มากขึ้นในตลาดกลุ่มนี้แล้ว จากที่ตอนแรกส่วนใหญ่เชื่อกันว่าถ้าเป็นเรื่อง Server ต้องเป็น Intel เท่านั้น
ตรงนี้ก็เป็นเพราะว่า CPU กลุ่ม Server จากทาง AMD เองมีตัวเลือกที่น่าสนใจ อย่างเช่นใน CPU หนึ่งตัวนั้นมีจำนวน Core ที่มากกว่าของ Intel แม้ว่าประสิทธิภาพต่อ Core เองจะยังสู้กับ Intel ไม่ได้ แต่ถ้าสนใจแค่จำนวน Core แล้ว ดูเหมือน AMD จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่าด้วยครับ
งานนี้สำหรับตลาด CPU เองก็จัดว่าเป็นอะไรที่สนุกเลยสำหรับผู้บริโภค เพราะจากที่ Intel กินรวบมานาน เราจึงไม่ได้เห็นการพัฒนาอะไรอย่างก้าวกระโดด จน AMD เริ่มมีสินค้าที่น่าสนใจออกมา เราจึงได้เห็น Intel Gen 12 เริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดบ้าง .. ประมาณว่ายิ่งถ้าสองแบรนด์นี้แข่งกันมากเท่าไหร่ วงการคอมพิวเตอร์ก็จะเติบโตด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจัดเป็นเรื่องดีมากๆเลยครับ เพราะเช่นนั้น ผู้บริโภคอย่างเราๆ ไม่ควรจะเป็นสาวกแบรนด์ใดแบรนด์นึง แต่เราควรจะซื้อสินค้าที่ได้ประสิทธิภาพคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากที่สุดในยุคนั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นอะไรใหม่ๆ และสั่งสอนให้บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ได้รู้ด้วยว่า ถ้าไม่พัฒนาอะไรเลย ก็จะไปไม่รอดนั่นแหละ
ข้อมูล : TechPowerUp