ASUS เตือนอาจขึ้นราคาพีซี หากภาวะขาดแคลนชิ้นส่วนหลักอย่าง DRAM และ NAND Flash ยังคงยืดเยื้อ
ASUS ออกมาเตือนว่า อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์ทั้งหมด หากสถานการณ์ขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญ เช่น หน่วยความจำ DRAM และ NAND Flash ยังคงดำเนินต่อไปในระยะยาว
โดย ผู้ร่วมบริหารสูงสุด (co-CEO) ของ ASUS ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Liberty Times ของไต้หวันว่า
“ในการกำหนดราคาสำหรับช่องทางจัดจำหน่าย ASUS จะพิจารณาต้นทุน คู่ค้าทางธุรกิจ และความต้องการของผู้บริโภค จากนั้นจะปรับสมดุลของผลิตภัณฑ์และราคาขายให้เหมาะสม”
ซึ่งหมายความว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรม จะสะท้อนโดยตรงมาถึงราคาขายสุดท้ายของผู้บริโภค เช่น หากราคาชิป DRAM ปรับขึ้น พีซีที่ใช้หน่วยความจำ 16GB, 32GB หรือ 64GB DDR5 ก็อาจมีราคาสูงขึ้น “หลายร้อยดอลลาร์สหรัฐ”
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ราคาชิป DRAM เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน กลายเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่มีมูลค่ามากที่สุด ทั้งในเซิร์ฟเวอร์ระดับศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงเครื่องพีซีระดับผู้ใช้ทั่วไป
ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ อัตราการส่งมอบสินค้าจากผู้ผลิตยังต่ำ โดยบริษัทใหญ่จะได้รับสินค้าประมาณ 70% ของยอดสั่งซื้อ ส่วนผู้ผลิตรายย่อยหรือผู้จัดจำหน่าย (OEM/Distributor) จะได้เพียง 35-40% เท่านั้น ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2026
ไม่เพียงแต่ DRAM เท่านั้น — NAND Flash ซึ่งใช้ใน SSD ก็พุ่งขึ้นเกือบ เท่าตัวในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา
โดย Khein-Seng Pua CEO ของ Phison เปิดเผยว่า ราคาชิป 1 Terabit TLC NAND เพิ่มจาก 4.80 ดอลลาร์ (กรกฎาคม 2025) เป็น 10.70 ดอลลาร์ (พฤศจิกายน 2025) — ขึ้นมากกว่า 100% ในเวลาไม่ถึงครึ่งปี
ขณะที่ชิป NAND แบบอื่น เช่น MLC และ QLC ก็มีราคาเพิ่มขึ้นในอัตราใกล้เคียงกัน
ทั้ง DRAM และ NAND จึงกำลังเป็น “แรงขับคู่” ที่ผลักต้นทุนของผู้ผลิต (OEM) ให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
โดยซีอีโอของ Phison ยังเตือนด้วยว่า วิกฤตขาดแคลน NAND Flash อาจยืดเยื้อถึง 10 ปี ส่วนกรอบเวลาของการขาดแคลน DRAM ยังไม่มีความแน่นอน
ในตอนนี้ สิ่งที่เหลือให้เราจับตาคือ กลยุทธ์ของ ASUS ในการปรับราคาพีซีรุ่นต่าง ๆ เพื่อรับมือกับต้นทุนชิ้นส่วนที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง —
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชุดแรม DDR5 ความจุ 64GB ที่จากเดิมเคยราคา ราว 200 ดอลลาร์ ปรับขึ้นมาเป็น 500 ดอลลาร์ แล้วในบางตลาด
แม้ ASUS จะยังไม่ประกาศปรับราคาอย่างเป็นทางการ แต่แนวโน้มชัดเจนว่า “ต้นทุนใหม่” ของพีซีในปีหน้าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป.
ที่มา: TechPowerUp



