ตั้งแต่ Intel Core ใน Generation ที่ 12 เป็นต้นมา เราก็ได้เห็นโครงสร้างทาง CPU รูปแบบใหม่ นั่นก็คือ Hybrid Processor ที่ใน CPU หนึ่งตัวจะประกอบไปด้วย Core หลายประเภท อย่างเช่น P-Core ที่เน้นประสิทธิภาพ และ E-Core ที่เน้นประหยัดพลังงาน .. แต่จริงๆแล้ว มันก็ไม่ได้ใหม่ซะทีเดียวหรอกครับ เพราะว่าในพวก Processor แบบ ARM ของพวกฝั่งมือถือ เราก็ได้เห็นลักษณะเดียวกันมาซักพักใหญ่ๆแล้ว เพียงแค่ว่าครั้งนี้เป็นการเอาเข้ามาใช้งานใน PC อย่างเต็มตัว พร้อมใช้งานคู่กับ Microsoft Windows 11 ด้วย Thread Director ทำให้ตัวระบบปฏิบัติการนั้นสั่งการใช้งานของตัว Core ได้เหมาะสมกับการทำงานมากที่สุด
แต่สำหรับวงการ Gaming ที่เน้นประสิทธิภาพจริงๆแล้ว หลายๆคนอาจจะไม่ชอบ Processor แบบ Hybrid พวกนี้เท่าไหร่ เพราะว่าตัว Scheduler อาจจะทำงานได้ไม่ถูกใจในบางที เป็นผลให้ประสิทธิภาพของตัวเกมนั้นออกมาไม่ดีอย่างที่ควร .. คือตรงนี้ถ้าให้อธิบายจริงๆก็อาจจะมีรายละเอียดที่ลึกหน่อย แต่ถ้าว่ากันง่ายๆก็คือ ตัวระบบนั้นอาจจะเลือก Core ไม่ถูกต้องไปให้ตัวเกมใช้งาน อย่างเช่นว่าการเล่นเกมนั้น เป็น Workload ประสิทธิภาพสูง ซึ่งที่ถูกต้องตัวระบบควรจะสั่งให้ตัวเกมนั้นใช้งาน P-Core เป็นหลัก แต่กลับมีบางครั้งที่ระบบทำงานผิดพลาด ทำให้ส่ง E-Core ไปประมวลผลตัวเกมแทน ประสิทธิภาพในการเล่นจึงตกแบบเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับตัวเกมที่เน้นประสิทธิภาพของ CPU มากทั้งหลาย .. อันนี้ Gamer แบบซีเรียสบางคน ถึงขั้นมีการไป Disable ตัว E-Core เลยก็มีเหมือนกัน
แต่สำหรับในวงการเกมจริงๆแล้ว เกมที่มีฟีเจอร์ด้านรองรับ Hardware มากที่สุด หรือจะเทียบเป็นเกมเจ้าแห่งการ Benchmark เลยก็คงหนีไม่พ้น Cyberpunk 2077 ที่ตอนเปิดตัวมาทีแรก เป็นเกมที่ไม่ได้รับความน่าประทับใจ เพราะประสิทธิภาพหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการ Optimization ประสิทธิภาพเอง หรือว่าจะเป็นเรื่องบัคในเกมที่เล่นกันแทบไม่ได้ .. ผ่านมาหลายปีจนถึงทุกวันนี้ มันกลับกลายเป็นเกมที่นัก Review Hardware อ้างอิงเป็นหลักในการทดสอบประสิทธิภาพเลยหล่ะ เพราะมันมีฟีเจอร์มาให้ครบครันหมด ไม่ว่าจะเป็น Ray-Tracing, Ray Reconstruction, Path Tracing, หรือจะเป็นพวก Upscaling ก็มีรองรับมาทุกค่ายตั้งแต่ AMD, NVIDIA ,Intel ทำให้ไม่ว่าคุณจะใช้การ์ดจอตัวไหน คุณจะสามารถอ้างอิงการทดสอบจากเกมนี้ได้หมด และนอกจากนั้นตัวเกมยังมีการอัปเดทฟีเจอร์ออกมาอย่างต่อเนื่องด้วยครับ
อย่างล่าสุดนี้ Cyberpunk 2077 ก็ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ Core Prioritization หรือ การจัดลำดับความสำคัญให้กับ CPU Core .. ซึ่งแน่นอนว่ามันออกแบบมาสำหรับ Processor แบบ Hybrid โดยเฉพาะ .. และฟีเจอร์นี้ก็จะมาพร้อมกับแพทช์ 2.11 และสามารถเปิดได้ใน Sub-Menu ของ Gameplay เอง .. หลักการทำงานของมันก็ตรงตัวครับ คือฟีเจอร์นี้จะข้ามการทำงานของ Core Scheduler จากทาง Windows และบังคับให้เกม Cyberpunk 2077 ทำงานด้วย CPU P-Core เป็นหลัก
แต่จากที่สื่อหลายๆแห่งลองใช้งานออกมา ก็ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพในเวอร์ชั่น 2.11 นั้นจะยังไม่สมบูรณ์ซักเท่าไหร่ แต่ปัจจุบันก็ได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเวอร์ชั่น 2.12 เป็นต้นมา
ฟีเจอร์นี้เรียกว่า Hybrid CPU Utilization และมันจะมีอยู่ให้เลือก 2 โหมดด้วยกัน อันแรกก็คือ Automatic Setting ที่จะให้ตัว OS นั้นสั่งการเลือก Core ให้ตัวเกมเหมือนเดิม .. ส่วนอีกฟีเจอร์นึงคือ "Prioritize P-Core" หรือบังคับให้ตัวเกมนั้นทำงานบน P-Core เท่านั้น .. โดยไอเดียนั้นก็เป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา และตามหลักการก็ควรจะแก้ปัญหาการจัดการ Core อย่างที่ผู้ใช้งานเจอในตอนแรกได้จริงๆ
แม้ว่าปัญหาที่ว่านี้จะไม่ได้เป็นอะไรที่คนพบเจอได้มากขนาดนั้น แต่ก็แน่นอนครับว่าตัว Windows Scheduler เองก็ไม่ได้ Perfect 100% บางครั้งก็มี Task ที่ถูกส่งไปประมวลผลบน Core CPU ที่ไม่ตรงการใช้งานอยู่เหมือนกัน และแม้ว่าตัว Intel Thread Director เองจะช่วยงานอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกครั้งมันจะทำงานได้ถูกต้องตามความต้องการของมนุษย์เสมอไป .. แน่นอนว่าการที่มีฟีเจอร์ให้เลือกเองแบบ Manual เช่นนี้ ก็จะทำให้การปรับตั้งนั้นละเอียดมากขึ้น และดีกว่าให้ผู้ใช้ต้องเสียเวลาเข้า BIOS ไปเพื่อปิด E-Core เมื่อต้องการจะเล่นเกมอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าการบังคับให้ใช้ P-Core อย่างเดียวจะเป็นเรื่องที่ดีเสมอไปนะครับ ดูแล้วมันกลายเป็นเหมือนการพัฒนาย้อนกลับไปในยุคที่ Processor ทุกตัวมีแต่ P-Core มากกว่า ก็คือไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่หรืองานเล็ก ต้องการพลังการประมวลผลมากหรือน้อย ก็โยนไปให้ P-Core ทั้งหมด ทำให้ P-Core รับหน้าที่เป็นหลักไป ในขณะที่ E-Core ที่ควรจะมาช่วยแบ่งเบาภาระในงานเล็กๆนั้นจะไม่ได้ทำหน้าที่ของมันเลย ก็เหมือนเป็นการย้อนกลับไปยุค Intel Gen 10 หรือ Gen 11 นั่นแหละ และตรงนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเหมาะสมกับทุกเกมด้วย เพราะบางเกมที่ไม่ได้เน้นเรื่องประสิทธิภาพด้าน CPU แบบมหาโหดมาก อาจจะเป็นการเหมาะสมมากกว่าถ้าใช้ E-Core ก็เป็นไปได้
ในอนาคต ยังเป็นอะไรที่วงการเกมต้องพัฒนาอีกมากในการใช้งานคู่กับ Processor แบบ Hybrid ประสิทธิภาพของตัวเกมน่าจะพัฒนาขึ้นได้กว่าตอนนี้อีก หากตัวเกมนั้นมีการใช้ P-Core และ E-Core ได้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่เหมารวมว่าทุกอย่างของตัวเกมควรถูกประมวลผลด้วย P-Core ทั้งหมด .. แต่อย่างน้อย Patch ที่ว่านี้ของเกม ก็เหมือนจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับคนที่เจอนั่นแหละครับ
ข้อมูล : Tom's Hardware