ในการสัมภาษณ์กับ AMD ล่าสุด บริษัทได้ระบุว่าชิปประมวลผลของตนจะสามารถใช้งานร่วมกับ Windows รุ่นถัดไปได้ โดยผู้ผลิตชิปรายนี้กล่าวว่า PC ในกลุ่ม Ryzen AI จะ “ไม่เพียงรองรับความสามารถใหม่ของ Windows เท่านั้น แต่ยังได้รับการปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อให้ทำงานได้ดีที่สุดด้วย” คุณสามารถอ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ในหน้าเดียวกันนี้
สาเหตุที่พูดถึง Ryzen AI ก็เพราะ Windows เองกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเริ่มต้องการฮาร์ดแวร์ที่รองรับงาน AI เพื่อให้ฟีเจอร์บางอย่างทำงานได้
ก่อนหน้านี้ Pavan Davuluri หัวหน้าทีม Windows ของ Microsoft ได้เคยบอกใบ้ถึงแผนนี้ไว้แล้ว—ว่าวิวัฒนาการต่อไปของระบบปฏิบัติการจะทำให้ Windows “สามารถเข้าใจคุณเชิงความหมายได้” และจะกลายเป็นระบบที่ “ลื่นไหลขึ้น อยู่รอบตัวมากขึ้น และรองรับหลายรูปแบบมากขึ้น” โดยใช้ฟีเจอร์อย่าง Copilot Vision ที่จะสามารถ “มองหน้าจอของคุณ” แล้วทำอะไรได้มากกว่าเดิม
ขณะนี้บริษัทกำลังพัฒนา Model Context Protocol (MCP) สำหรับ Windows 11 เพื่อผลักดันให้กลายเป็น “Agentic OS” หรือระบบปฏิบัติการที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างแท้จริง
Microsoft อธิบาย MCP ไว้ดังนี้:
“MCP บน Windows เป็นกรอบการทำงานมาตรฐานสำหรับเชื่อมต่อเอเจนต์ AI เข้ากับแอป Windows แบบเนทีฟ ทำให้แอปเหล่านั้นเข้าร่วมการทำงานแบบ agentic ได้ง่ายขึ้น แอป Windows สามารถเปิดฟังก์ชันเฉพาะให้เอเจนต์ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องใช้งาน เพื่อเสริมความสามารถของพวกมันได้”
ไม่กี่วันที่ผ่านมา Davuluri ยังได้โพสต์แสดงความตื่นเต้นเกี่ยวกับแผนนี้บน X (Twitter) โดยเขาดูมีท่าทีอยากนำเสนอสิ่งที่ Microsoft เตรียมเปิดเผยในงาน Ignite ว่าด้วยอนาคตของ Agentic OS
อย่างไรก็ตาม ผลตอบรับกลับเป็นเชิงลบอย่างมาก จนโพสต์ดังกล่าวถูกปิดไม่ให้แสดงความคิดเห็นแล้ว หลายคอมเมนต์ที่ถูกกดถูกใจเยอะเผยให้เห็นชัดเจนว่าผู้ใช้จำนวนไม่น้อยไม่ปลื้มแนวคิด Windows ที่กำลังจะกลายเป็นระบบปฏิบัติการแบบเอเจนต์ AI
มีผู้ใช้รายหนึ่งบ่นว่า “ทำ Windows ให้เร็วขึ้นหน่อยได้ไหม? ไม่ใช่ทำ Agentic” แสดงว่าผู้ใช้บางคนอยากให้ Windows ทำงานเร็วกว่าเดิมมากกว่าได้ฟีเจอร์ใหม่
อีกรายเขียนว่า “คุณยังทำไอคอนทาสก์บาร์แบบเล็กให้ถูกต้องไม่ได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการจริง ๆ คุณได้รับฟีดแบ็กเชิงลบมากมายเกี่ยวกับฟีเจอร์ AI พวกนี้ แต่คุณก็ยังดันทุรังทำต่อไป ทำไม?”
มีผู้ใช้บางคนกังวลว่า Windows จะแพงพุงและอืดขึ้น โดยคอมเมนต์ว่า “ฟังดูเหมือนมีของกินทรัพยากรเพิ่มเข้ามาอีก? ลองทำ OS ที่ลื่นไหลและบั๊กน้อยที่สุดก่อนดีไหม? … ดูเหมือนพวกคุณคิดว่าผู้ใช้ต้องการฟีเจอร์ที่เปิดตลอดเวลาเป็นร้อยอย่าง ซึ่งหลายอย่างยังเป็นเบต้า แถมยังกินทรัพยากรและส่งข้อมูลกลับอีก”
ที่มา: Neowin



