สิ่งนึงที่ปี 2021 สอนเราอย่างชัดเจนก็คือในเรื่องของปัจจัยทางการตลาดในด้าน Supply และ Demand .. เราได้เห็นมาแล้วว่า การที่ความต้องการมหาศาล กับ จำนวนสินค้าที่มีจำกัดนั้นทำให้สภาวะตลาดเป็นอย่างไร .. ทั้งในเรื่องราคาที่ดีดตัวขึ้นสูง การกักตุนสินค้า จนทำให้การ์ดจอกลายเป็นของมีค่าที่หลายๆคนพุ่งเข้ามาพยายามเก็งกำไรกันเลยทีเดียว
สาเหตุนึงของปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ชิปขาดตลาด และความไม่พร้อมของผู้ผลิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ .. ด้วยภาวะโรคระบาดอย่าง COVID-19 หลายๆอย่างก็เกิดการชะงักขึ้น บวกกับที่ว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์นั้นไม่ได้ผลิตแล้วจบในโรงงานเดียว แต่เป็นการใช้อุปกรณ์จากหลายๆที่มาประกอบรวมกัน เช่นการ๋ดจอก็จะประกอบไปด้วยทั้งภาคจ่ายไฟ, Memory, PCB, หรือตัว GPU เอง ถ้าชิ้นใดชิ้นนึงเกิดชะงักหรือไม่สามารถส่งมอบได้ตามเวลา ก็จะทำให้ Final Product นั้นไม่สามารถออกขายในตลาดได้
สำหรับปี 2022 นี้ก็ไม่แปลกที่ว่าผู้ผลิตการ์ดจอและแบรนด์ต่างๆ ต้องได้มีการเรียนรู้จากบทเรียนดังกล่าว และต้องเตรียมความพร้อมไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอีก เนื่องจากการขาดตลาดนั้น ผู้ผลิตก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เพราะว่าการที่ไม่มีของขายก็แปลว่าบริษัทไม่สามารถทำกำไรได้อย่างที่ควรด้วย
ครั้งนี้ข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างประเทศ Hardware Times ก็ได้เผยว่า NVIDIA นั้นกำลังเตรียมลงทุนมหาศาลกับการผลิตการ์ดจอในรุ่นถัดไป ซึ่ง Wafer ที่ NVIDIA จะนำมาใช้กับการ์ดจอ RTX40 Series นั้นจะเป็นแบบ 5nm และจ้าง TSMC เป็นผู้ผลิต .. และ NVIDIA ได้มีการลงทุนกับทาง TSMC ไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งตัวเลขรวมที่ทาง NVIDIA จ่าย TSMC ไปแล้ว ก็มากถึงระดับ "หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ" เลยทีเดียวครับ
การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX40 Series หรือที่ใช้ Codename ว่า Ada Lovelace นั้นจะมีตัวบนเป็นรหัส AD102 อัดแน่น CUDA Core มาที่ระดับ 18,432 หน่วย ซึ่งเพิ่มมาจาก 10,496 หน่วยใน RTX3090 อยู่มหาศาล
ตัวเลขที่เห็นหมื่นล้านตรงนี้ก็ดูจะเป็นตัวเลขที่เยอะมากเลยหล่ะ และด้วยความที่ TSMC มีการปรับราคา Chip เพิ่มขึ้นหลายรอบแล้ว ใครที่ไปจ้าง TSMC ผลิตก็แน่นอนว่าต้องเจอต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย .. ส่วนผู้ที่รับภาระตรงนี้ก็คงหนีไม่พ้นผู้บริโภคนั่นแหละครับ
TSMC เองก็ต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมขึ้นเช่นกันครับ .. ตามที่บริษัทรายงานใน Total Earning Call ครั้งล่าสุด Cheif Financial Officer ของบริษัทอย่างนาย Wendell Huang ก็ได้บอกว่างบประมาณของบริษัทที่จะเอามาใช้จ่ายปีนี้ก็จะอยู่ที่ราวๆ สี่หมื่น ถึง สี่หมื่นสี่พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดที่เคยมีมา และสูงกว่าปีที่แล้วถึง 47% .. ตัวเลขราวๆ 70-80% ในนั้นจะถูกนำไปใช้กับ Advanced Process Technology ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น 2nm, 3nm, 5nm และ 7nm อีก 10% จะนำไปใช้กับ Advanced Packaging และ Mask Making ส่วน 10% สุดท้ายจะเอาไปใช้กับหมวด Specialty Technologies
เห็นแบบนี้แล้ว ก็มองได้สองมุมครับ อาจจะเป็นทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในขณะเดียวกันเลย ! มุมที่ดีก็คือ ผู้ผลิตการ์ดจอมีความพร้อมมากขึ้นที่จะสู้กับสภาวะของขาดตลาด มีสินค้าผลิตออกมามากขึ้น แปลว่าปัญหา Demand มากกว่า Supply นั้นจะลดลง .. แต่ถ้ามองอีกมุมนึงก็คือ ราคาต้นทุนของตัวการ์ดนั้นจะสูงขึ้น แปลว่า MSRP หรือราคาเปิดตัวก็จะสูงขึ้นด้วย ตรงนี้ผู้บริโภคอย่างเราๆก็ไม่ต้องมาได้ยินคำว่า "พรี่รับมาแพง" กันอีกต่อไปแล้ว เพราะมันจะแพงจริงๆตั้งแต่ราคาเปิดตัวเลย ไม่จำเป็นต้องมารอให้ใครกักตุนหรือโก่งราคากันเหมือน RTX30 ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้
ข้อมูล : Hot Hardware