OS/2: ระบบปฏิบัติการในฝันที่ Microsoft และ IBM เคยสร้างร่วมกัน ก่อนจะกลายเป็นเส้นทางแยกจากกัน
ช่วงกลางทศวรรษ 1980 คือยุคที่โลกคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเดินทางจากความเรียบง่ายสู่ยุคของระบบที่ “จริงจัง” มากขึ้น หลังจาก IBM PC ได้กลายเป็นมาตรฐานทองคำของเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับธุรกิจ Microsoft ก็เป็นพันธมิตรสำคัญในฐานะผู้จัดทำระบบปฏิบัติการ MS-DOS ที่แทบทุกเครื่องใช้ร่วมกันทั่วโลก
แต่ DOS ก็เริ่มแสดงข้อจำกัดอย่างเห็นได้ชัด — ไม่มีการจัดการหน่วยความจำที่ดี ไม่มีระบบ multitasking ที่แท้จริง และไม่รองรับกราฟิกยุคใหม่ได้เท่าที่ผู้ใช้ต้องการ โลกของซอฟต์แวร์เริ่มเคลื่อนไปสู่ GUI (Graphical User Interface) และความเสถียรแบบระบบ multitasking — และ IBM ก็เห็นว่าถึงเวลาต้องสร้างระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่เพื่อ “ก้าวข้าม DOS” ไปให้ได้
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ OS/2

จุดกำเนิดของพันธมิตรยักษ์ใหญ่
ปี 1985 IBM และ Microsoft เซ็นสัญญาร่วมมือกันเพื่อพัฒนา “Operating System/2” (ย่อว่า OS/2) — “2” ที่ต่อท้ายมาจาก “PC/2” หรือ IBM Personal System/2 ซึ่งเป็นเครื่องรุ่นใหม่ที่ IBM เตรียมเปิดตัวในปีถัดมา
แนวคิดคือทำให้ OS/2 เป็นระบบปฏิบัติการแห่งอนาคต ที่สามารถ:
-
ใช้หน่วยความจำได้มากกว่า 640 KB ของ DOS
-
รันหลายโปรแกรมพร้อมกัน (multitasking)
-
มีระบบป้องกันความผิดพลาดของโปรแกรม (protected mode)
-
รองรับ GUI ที่เรียกว่า Presentation Manager
-
และสามารถ “รันโปรแกรม DOS เดิมได้” เพื่อให้ผู้ใช้เปลี่ยนผ่านได้ง่าย
กล่าวได้ว่า OS/2 คือ “Windows NT” ในยุคที่ Windows ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ

OS/2 1.x — ฝันที่เริ่มเป็นจริง (ครึ่งหนึ่ง)
เวอร์ชันแรก OS/2 1.0 เปิดตัวในปี 1987 — มันคือระบบปฏิบัติการ 16-bit ที่ทำงานบน CPU Intel 80286 ซึ่งเป็นชิปใหม่ในขณะนั้น
ในยุคนั้น OS/2 ถือว่าก้าวหน้ามาก:
-
รองรับ multitasking แบบ preemptive
-
มี filesystem ใหม่ชื่อ HPFS (High Performance File System) ที่ดีกว่า FAT ของ DOS มาก
-
มีโหมด “command line” ที่คล้าย DOS แต่เสถียรกว่า
ปัญหาคือ…เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ตอนนั้นยังไม่แรงพอ
RAM ยังมีแค่ 512 KB ถึง 1 MB เท่านั้น ขณะที่ OS/2 ต้องการมากกว่านั้นเพื่อทำงานได้ดี
ซอฟต์แวร์ก็ยังมีน้อยเพราะนักพัฒนายังคงเน้นตลาด DOS ที่ใหญ่กว่า
จนกระทั่งในปี 1988–1989, IBM และ Microsoft ปล่อย OS/2 1.1 และ 1.2 พร้อมกับ GUI Presentation Manager ที่ดูทันสมัยขึ้น — หน้าตาใกล้เคียง Windows 2.0 ในยุคนั้น แต่มีโครงสร้างระบบที่มั่นคงกว่า
แต่ขณะเดียวกัน Microsoft ก็มี “โครงการคู่ขนาน” ชื่อ Windows/386 ที่เริ่มได้รับความนิยมในตลาดบ้านและสำนักงาน
นั่นคือจุดเริ่มต้นของ “รอยร้าว” ระหว่าง IBM และ Microsoft

รอยร้าวแห่งอุดมการณ์: IBM กับ Microsoft ต่างมองอนาคตคนละทาง
IBM ต้องการระบบปฏิบัติการที่ มั่นคง เสถียร และออกแบบสำหรับองค์กร
Microsoft ต้องการระบบที่ ยืดหยุ่น ขยายตลาด และใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
OS/2 เป็นระบบที่ “ใหญ่” และ “ซับซ้อน” สำหรับยุคที่ยังมีคอมพิวเตอร์ 286
ในขณะที่ Windows 3.0 ที่ Microsoft เปิดตัวในปี 1990 กลับประสบความสำเร็จแบบถล่มทลาย — เพราะมัน “ดูดีและรันได้บนเครื่องเดิม”
Windows ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการเต็มตัว แต่เป็น GUI ที่ครอบ DOS — ทว่ามันง่ายกว่า ถูกกว่า และมีซอฟต์แวร์มากกว่า
เมื่อ Windows 3.0 ขายได้เป็นล้านชุด IBM ก็ยังคงพัฒนา OS/2 ต่อไป โดยปล่อย OS/2 1.3 แล้วเตรียมก้าวสู่ยุค 32-bit

OS/2 2.0 — "A better DOS than DOS, a better Windows than Windows"
ในปี 1992, IBM ปล่อย OS/2 2.0 — ระบบปฏิบัติการ 32-bit ตัวเต็มที่รันบนชิป Intel 80386
และนี่คือระบบที่ “แซงหน้า Windows 3.1 ทุกด้าน”
OS/2 2.0 สามารถ:
-
รันหลายโปรแกรม DOS พร้อมกันได้อย่างเสถียร
-
รันโปรแกรม Windows (ในกล่องจำลอง) ได้เต็มรูปแบบ
-
มี GUI แบบใหม่ชื่อ Workplace Shell ที่เป็น object-oriented desktop ล้ำสมัยมาก
-
รองรับหน่วยความจำและระบบ multitasking ที่เหนือกว่า Windows หลายปี
IBM โปรโมตด้วยคำขวัญที่ดังในตำนาน:
“OS/2 — A better DOS than DOS, a better Windows than Windows.”
แต่ถึงจะดีกว่าแค่ไหน ผู้ใช้ทั่วไปกลับไม่สนใจ...

เพราะการตลาดแพ้เทคโนโลยี
ปัญหาของ OS/2 ไม่ได้อยู่ที่ตัวระบบ — แต่อยู่ที่ IBM ไม่เข้าใจตลาดผู้ใช้ส่วนบุคคล
ระบบติดตั้งยาก แพง ซอฟต์แวร์รองรับน้อย
ร้านค้าส่วนใหญ่แนะนำ Windows เพราะติดมากับเครื่อง
นักพัฒนาก็หันไปทำโปรแกรมให้ Windows เพราะตลาดใหญ่กว่า
ในขณะที่ Microsoft เดินหน้า Windows 95 อย่างมุ่งมั่น
IBM กลับยังติดกับภาพลักษณ์ “ระบบองค์กรใหญ่” ที่ไม่เข้ากับตลาด consumer
แม้ OS/2 Warp (เวอร์ชัน 3.0) ในปี 1994 จะพยายามฟื้นคืนชีพ
แต่โลกก็หมุนไปสู่ Windows 95 ที่รวม GUI และระบบ multitasking เข้าไว้ในตัวเดียว
และนั่นคือจุดที่ OS/2 ค่อย ๆ จางหายไปจากตลาดผู้ใช้

จุดจบที่ไม่เคยจางจากความทรงจำ
OS/2 ไม่ได้ “ล้มเหลว” ทางเทคนิคเลย — มันคือระบบที่ล้ำหน้ากว่า Windows ในยุคเดียวกันหลายปี
แต่แพ้เพราะตลาด การตลาด และจังหวะเวลา
IBM ค่อย ๆ ลดบทบาทของ OS/2 ลงในช่วงปลายยุค 1990
จนกระทั่งปี 2006 บริษัทประกาศยุติการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ยังไม่ตายสนิท
ในโลกเฉพาะทาง เช่น ATM ธนาคาร หรือระบบควบคุมอุตสาหกรรม บางแห่งยังใช้ OS/2 (หรือเวอร์ชันดัดแปลงอย่าง eComStation และ ArcaOS) มาจนถึงปัจจุบัน
เพราะความเสถียรของมัน “ดีเกินกว่าจะเลิกใช้ได้ง่าย ๆ

มรดกของ OS/2
แม้ OS/2 จะหายไปจากตลาดหลัก แต่มรดกของมันยังคงอยู่:
-
แนวคิด multitasking และ protected memory ถูกสืบต่อไปใน Windows NT
-
ระบบ GUI และ object desktop ของ OS/2 มีอิทธิพลต่อแนวคิดของ “shell” ใน Windows รุ่นหลัง
-
และเรื่องราวของมันคือบทเรียนอันล้ำค่าของโลกไอที — ว่าความล้ำหน้าเชิงเทคนิค ไม่ได้หมายถึงชัยชนะในตลาดเสมอไป
ปิดท้าย
OS/2 คือระบบปฏิบัติการที่เกิดจากความร่วมมือของสองยักษ์ใหญ่ — แต่ก็เป็น “การหย่าร้างทางเทคโนโลยี” ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์
มันสอนเราว่า “อนาคต” ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเสมอไป
แต่จากการเข้าใจว่า “ใครคือผู้ใช้” และ “พวกเขาต้องการอะไรในเวลานั้น”
OS/2 อาจเป็นระบบที่ดีกว่า Windows —
แต่โลกไม่ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป โลกเลือกสิ่งที่ “เหมาะ” ที่สุด




