ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยี SSD พร้อมกับการผลิตจำนวนมาก ที่ทำให้ SSD ในตลาดมีราคาถูก โดย SSD ในยุคสมัยนี้นั้นมักจะใช้ NAND FLASH เทคโนโลยี QLC ที่มีอยู่ใน SSD ราคาถูกลง โดยเทคโนโลยี QLC มันแตกต่างจาก MLC หรือ TLC ใน SSD ที่มักจะใช้กับ SSD ในยุคที่ผ่านมา เราไปหาคำตอบกันครับ
ความจริงแล้วราคาที่ลดต่ำลงของ SSD ส่วนหนึ่งคือกลไกตลาดตามอุปสงค์และอุปทาน เมื่อมีการผลิต SSD จำนวนมากเพื่อป้อนตลาดผู้ใช้งานทั่วไปที่ขยายตัวมากขึ้น ต้นทุนก็ต่ำลง ทำให้ราคาขายถูกลงได้ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แนวโน้มของราคา SSD ลดลงแบบก้าวกระโดนชัดเจนเมื่อเทียบกับความจุที่ได้รับมากขึ้น ก็คือการมาถึงของเทคโนโลยีที่เรียกว่า QLC (Quad-Level Cell) ที่เรากำลังจะพูดถึงในครั้งนี้นั่นเอง
สำหรับใครที่คิดว่ายังไม่รู้จักดีพอ ลองไปอ่านบทความนี้ “15 เรื่องของ SSD ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้” กันก่อนได้ครับ
ทำความรู้จักชนิดของ NAND-Flash ก่อนจะเป็น QLC
แม้ SSD จะมีข้อดีคือมีอัตราการอ่าน-เขียนข้อมูลที่รวดเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์แบบจานแม่เหล็กหลายเท่า แต่ข้อจำกัดที่ทำให้หลายคนลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้คือ ”ความจุ” ที่โดยส่วนใหญ่มักจะมีให้เลือกระหว่าง 64-250GB โดยข้อแม้สำคัญคือพอจะจ่ายไหว เพราะ SSD ในยุคแรกๆ จะใช้เทคโนโลยีการเรียงเซลล์หน่วยความจำ NAND Flash แบบ SLC (Single-Level Cell) ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด คือมีอัตราการอ่าน-เขียนได้เร็วที่สุดเพราะแต่ละเซลจะเก็บข้อมูลได้เพียง 1 บิต และสามารถบันทึกซ้ำได้มากที่สุด (P/E ประมาณ 100,000 รอบ) ซึ่ง SSD ชนิดนี้จะมีราคาแพงมาก และสงวนไว้สำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพเท่านั้น
ต่อมามีการพัฒนาเทคโนโลยีการเรียงเซลล์หน่วยความจำ NAND แบบ MLC (Multi-Level Cell) ที่ตอบโจทย์ด้านประสิทธิภาพ และราคาต่อความจุที่ถูกลง ราคาพอจับต้องได้ โดยแต่ะเซลจะสามารถเก็บข้อมูลได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 บิต แต่ความเร็วในการอ่านเขียนและความสามารถในการบันทึกซ้ำก็จะลดลงไปด้วย (P/E ประมาณ 3,000 -10,000 รอบ)
ถัดจาก MLC เทคโนโลยี NAND ยังถูกพัฒนาต่อเป็น TLC (Triple-Level Cell) หรือสามารถเก็บข้อมูลได้ 8 บิต/เซล โดย SSD ที่ใช้เทคโนโลยีนี้จะเน้นเรื่องความประหยัด เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไป ในขณะที่รวามเร็วในการอ่านเขียนอยู่ในระดับพอใช้ (แต่ก็ยังเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์ปกติอยู่ดี) แต่ก็ต้องแลกกับความสามารถในการบันทึกข้อมูลซ้ำได้เพียง 500-1,000 รอบ
แล้ว QLC ดีไหม เหมาะกับการใช้งานประเภทใด
เทคโนโลยี Quad-Level Cell (QLC) เป็นการเรียงเซลล์หน่วยความจำ NAND แบบ 4 เลเยอร์ คือ 1 เซลเก็บข้อมูลได้ 4 บิต (0000 ถึง 1111) ดังนั้นความจุจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่าในราคาถูกกว่าเดิมมาก ความเร็วใกล้เคียงกับ TLC แถมยังกินพลังงานน้อยลงมาเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์ความจุเท่ากัน
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของ QLC ที่ต้องรู้ไว้เลยก็คือประสิทธิภาพในการอ่าน-เขียนจะลดต่ำลงมาก หมายความว่าความสามารถในการเขียนข้อมูลซ้ำในเซลเดิมจะทำได้น้อยลงหลายเท่าเมื่อเทียบกับ TLC โดยการคาดเดาของผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศระบุว่า SSD แบบ QLC อาจเขียนข้อมูลซ้ำ (P/E) ในแต่ละเซลได้เพียง 150 รอบแต่เรื่องนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะทางผู้ผลิตทั้งหลายได้สรรหาเทคนิคและวิธีการที่จะทำให้แต่ละเซลถูกใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ยกตัวอย่างเช่นไดรฟ์ SSD แบบ QLC รุ่น 860QVO ของ Samsung ที่ระบุว่ามีค่า Endurance โดยรวมได้ถึง 1,440TB ซึ่งถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
ทั้งหมดทั้งปวง ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีดังที่กล่าวมา ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ SSD แบบ QLC จึงควรพิจารณาวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้งาน เพราะโดยหลักการแล้วมันถูกออกแบบมาเพื่องานประเภทที่เขียนข้อมูลบ่อยไม่บ่อย แต่อ่านข้อมูลบ่อยกว่ามาก (Write Once, Ready Many) เช่น บริษัทหรืออุตสหกรรมใหญ่ๆ ที่ต้องจัดการกับ Big Data และเคยใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนประสิทธิภาพสูงสำหรับจัดเก็บข้อมูลแบ็กอัพ QLC จะเข้ามาตอบโจทย์ด้านราคาและความจุได้เป็นอย่างดี และแบบ 15K และ 10K จะได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป?
หากต้องการนำ QLC SSD มาใช้เป็นไดรฟ์หลักสำหรับติดตั้งระบบปฏิบัติการวินโดวส์ อาจต้องพิจารณารูปแบบการใช้งานเป็นอันดับแรก หากใช้งานพื้นฐานทั่วไป ใช้งานวันละไม่กี่ชั่วโมง ไม่ลบและติดตั้งโปรแกรมใหม่บ่อยๆ QLC ก็อาจสามารถตอบโจทย์ในเรื่องประสิทธิภาพและราคาได้ และจะยิ่งเหมาะมากถ้านำไปใช้เป็นไดรฟ์เก็บข้อมูลรูปภาพ เพลง ภาพยนตร์ ฯลฯ แต่ถ้าคุณเป็นผู้ใช้งานตัวยง ชอบทดลองโปรแกรมใหม่ๆ ชอบเล่นเกม ใช้โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ ตกแต่งรูปภาพ เป็นกิจวัตร QLC ก็ไม่น่าจะใช่ตัวเลือกที่เหมาะสม
หาซื้อ SSD QLC ได้ที่ไหน?
ปัจจุบันมีผู้ผลิตชิปหน่วยความจำที่ประกาศว่าจะพัฒนา SSD แบบ QLC ออกสู่ตลาดหลายราย โดย Toshiba และ WD ได้ทำการเปิดตัว QLC บนพื้นฐานของ 3D-NAND 64 เลเยอร์โดยการใช้เทคโนโลยี BiCS (Bit Cost Scaling) ทำให้ Die พื้นฐานขนาด 96GB สามารถใช้งานได้ถึง 1.5TB ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะสามารถลดขนาดการผลิตลงจนสามารถเพิ่มเลเยอร์ได้ถึง 96 เลเยอร์โดยที่ความจุนั้นสามารถสูงได้ถึง 42TB เลยทีเดียว
ในขณะที่ Samsung ราคาประหยัดจะใช้ V-NAND ขนาด 1TB เป็นพื้นฐาน และเสริมด้วยเทคโนโลยี TurboWrite ที่ทำให้อัตราการอ่าน-เขียนข้อมูลรวดเร็วไม่ด้อยไปกว่า SSD แบบ TLC มากนัก ความจุเริ่มต้น 1TB และขนาดสูงสุด 4TB 16,900 บาท ส่วนประเทศไทยทางเลือกของ SSD ที่ใช้เทคโนโลยี QLC มีทางเลือกกันหลากหลายโมเดล และ หลากหลายแบรนด์