เร้ดแฮท (Red Hat) ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สชั้นนำของโลกประกาศว่า Red Hat OpenShift 4.20 ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันแพลตฟอร์มแบบไฮบริดคลาวด์เวอร์ชันล่าสุดที่ขับเคลื่อนด้วย Kubernetes พร้อมให้ใช้งานแล้ว Red Hat OpenShift 4.20 นำเสนอความสามารถในการเร่งความเร็วให้กับเวิร์กโหลด AI เสริมความปลอดภัยของแพลตฟอร์มหลักให้แข็งแกร่ง และเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์ด้านเวอร์ชวลไลเซชันอย่างเป็นหนึ่งเดียวบนทุกสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นในศูนย์ข้อมูล บนพับลิคคลาวด์ หรือเอดจ์
องค์กรต่าง ๆ ต้องการแพลตฟอร์มที่เสถียรและเชื่อถือได้ที่สามารถเชื่อมโยงแอปพลิเคชันและบริการต่าง ๆ ที่หลากหลายในระบบไอทีทั้งหมดขององค์กรเข้าด้วยกัน เพื่อจัดการกับความซับซ้อนและข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้องค์กรยังต้องการความสามารถที่จะรองรับการเป็นเจ้าของอธิปไตยทางดิจิทัล (digital sovereignty) มากขึ้น ซึ่งทำให้องค์กรเหล่านั้นต้องการคงไว้ซึ่งความสามารถในการควบคุมระบบคลาวด์ของตนได้อย่างครอบคลุม สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและกำหนดได้อย่างชัดเจนว่าแอปพลิเคชันและข้อมูลใดที่ต้องใช้หรือให้ทำงานอยู่ภายในองค์กร และส่วนใดบ้างที่ใช้งานอยู่นอกองค์กรได้ Red Hat OpenShift 4.20 สร้างขึ้นมาโดยกำหนดให้เรื่องความปลอดภัยของระบบเป็นหัวใจสำคัญ มอบโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหนึ่งเดียวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้องค์กรควบคุมการใช้งานได้โดยสมบูรณ์ และเร่งการพัฒนาและปรับใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงเวิร์กโหลด AI บนสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ทั้งหมด
ยกระดับความปลอดภัยให้กับแพลตฟอร์ม และ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการระบบสำคัญ ๆ
เวอร์ชันล่าสุดนี้ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบความปลอดภัยของแพลตฟอร์มอย่างมีนัยสำคัญ สามารถรับมือกับภัยคุกคามเร่งด่วนในปัจจุบัน และ ความต้องการด้านความปลอดภัยที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปของระบบไอทีองค์กร ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งใหักับแพลตฟอร์มเพื่อรองรับข้อกำหนดเฉพาะด้านอธิปไตยดิจิทัล Red Hat OpenShift 4.20 ช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับทราฟฟิกหลักระหว่างส่วนประกอบของ control plan ด้วยการรองรับเบื้องต้นสำหรับอัลกอริทึมการเข้ารหัสหลังควอนตัม (post-quantum cryptography: PQC) สำหรับ mTLS เพื่อมอบการปกป้องการเข้ารหัสในระยะยาวสำหรับการสื่อสารที่สำคัญ
นอกจากนี้ยังเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงานให้กับแพลตฟอร์มหลัก และเสริมศักยภาพด้านความปลอดภัยให้กับลูกค้าที่ใช้ Red Hat OpenShift Platform Plus รวมถึงการเปิดให้ใช้งานทั่วไปของ Red Hat Advanced Cluster Security 4.9 และการปรับปรุง Red Hat Trusted Artifact Signer และ Red Hat Trusted Profile Analyzer เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลด้านความปลอดภัยได้ง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ฟีเจอร์ zero trust workload identity manager ที่มีกำหนดเปิดตัวปลายปีนี้ จะมอบความสามารถในการรับรองตัวตน (identity attestation) ทั้งสำหรับตัวเครื่องและผู้ใช้งาน ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานแบบรวมศูนย์ทั้งหมด (federated infrastructure)
ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่เน้นการควบคุมและการระบุตัวตน ได้แก่:
- ความยืดหยุ่นและความสามารถในการควบคุมด้านการจัดการตัวตน: ฟีเจอร์ Bring-Your-Own OpenID Connect ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐาน OpenID Connect (OIDC) ที่มีอยู่ได้ ซึ่งช่วยให้ควบคุมข้อมูลผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น
- ลดต้นทุนการเข้ารหัส pod-to-pod mTLS ได้อย่างมีนัยสำคัญ, มอบนโยบาย identity-based traffic, ความสามารถในการสังเกต และอื่น ๆ ด้วยโหมด “sidecar-less” ambient ของ Red Hat OpenShift Service Mesh ซึ่งช่วยลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน ความซ้บซ้อนในการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายด้านทรัพยากรที่เกินจำเป็น
- ลดความซับซ้อนในการจัดการความลับภายนอกด้วยบริการเดียวทั่วทั้งคลัสเตอร์: External Secrets Operator (ESO) มอบการจัดการไลฟ์ไซเคิลให้กับความลับที่ดึงมาจากระบบการจัดการความลับภายนอกซึ่งช่วยปรับปรุงความปลอดภัยให้รัดกุมมากขึ้น
- ลดต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยความพร้อมใช้งานสูงบนฟุตพริ้นท์ที่เล็กลง: Two-node OpenShift with arbiter ช่วยให้สามารถใช้ฟอร์มแฟกเตอร์ที่มีความพร้อมใช้สูง (high-availability form factor) ใหม่ ที่ช่วยลดต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่กระทบต่อความแข็งแกร่งของระบบ
- เพิ่มประสิทธิภาพการผสานรวมเครือข่ายให้กับการใช้งานบนระบบที่ติดตั้งภายในองค์กร (on-premises): Border Gateway Protocol (BGP) ใน OVN-Kubernetes มอบความสามารถด้านเครือข่ายใหม่ให้กับสภาพแวดล้อมการใช้งาน on-premises ด้วยการแลกเปลี่ยนเส้นทางอย่างต่อเนื่องระหว่าง OpenShift และเครือข่ายภายนอก ทำให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเครือข่าย การย้ายเวอร์ชวลแมชชีน หรือเหตุการณ์ failover ต่าง ๆ ทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การนำ AI ที่อยู่ในขั้นตอนการทดลองไปใช้งานจริง
Red Hat OpenShift 4.20 ช่วยเร่งให้สามารถนำโปรเจกต์ AI ไปใช้งานจริงได้เร็วขึ้น มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และด้วยความมั่นใจมากขึ้น ความสามารถใหม่ ๆ ที่แพลตฟอร์มนี้มีให้ออกแบบมาเพื่อให้การนำไปใช้และการจัดการความซับซ้อนของเวิร์กโหลด AI ต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงช่วยให้ปรับขนาดการใช้งานและบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น เช่น LeaderWorkerSet (LWS) API for AI workloads ช่วยให้การจัดการเวิร์กโหลดแบบ distributed AI ขนาดใหญ่ทำได้ง่ายขึ้น ด้วยการจัดการผสานและจัดระเบียบระบบ (orchestration) และการปรับขนาดการทำงาน (scaling) โดยอัตโนมัติ
ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการนำโปรเจกต์ AI ไปใช้งานจริงลดลงอย่างมาก ด้วยการใช้ Image volume source for AI workloads ซึ่งช่วยให้สามารถผสานรวมโมเดลใหม่ ๆ เข้ากับระบบได้ภายในไม่กี่นาทีโดยไม่ต้องสร้างแอปพลิเคชันคอนเทนเนอร์ขึ้นใหม่ คุณสมบัติเหล่านี้รวมพลังกันมอบฟังก์ชันการทำงานให้กับ Red Hat OpenShift AI หรือแพลตฟอร์ม AI อื่น ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนโปรเจกต์ AI ที่อยู่ในขั้นการทดลองไปสู่การใช้งานจริงได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ Model Context Protocol (MCP) ยังเปิดให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้เครื่องมือของตน เช่น Visual Studio Code จัดการคลัสเตอร์ได้อีกด้วย
เวอร์ชวลไลเซชันที่พร้อมใช้งานจริง
เร้ดแฮทเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Red Hat OpenShift Virtualization อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการเวอร์ชวลแมชชีน ควบคู่กับคอนเทนเนอร์และคลาวด์-เนทีฟแอปพลิเคชันได้จากแพลตฟอร์มเดียว CPU load-aware rebalancing และ Arm support ที่เพิ่มเข้ามา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรให้กับเวอร์ชวลเวิร์กโหลดต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน การที่ Red Hat OpenShift Virtualization ขยายความสามารถในการรองรับไฮบริดคลาวด์ไปยังการใช้งานแบบ bare-metal บน Oracle Cloud ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานไอทีและการจัดวางข้อมูลขององค์กรได้มากขึ้น ฟังก์ชันการถ่ายพื้นที่เก็บข้อมูล (storage offloading functionality) ที่ได้รับการปรับปรุง ช่วยให้ชุดเครื่องมือที่ใช้ในการย้ายข้อมูลสำหรับเวอร์ชวลไลเซชันสามารถย้ายเวอร์ชวลแมชชีนจากโซลูชันเวอร์ชวลไลเซชันแบบดั้งเดิมไปยัง OpenShift Virtualization ผ่านทรัพยากรการจัดเก็บข้อมูลที่มีอยู่เดิม ได้เร็วขึ้นอย่างมาก
การวางตลาด
Red Hat OpenShift 4.20 พร้อมให้บริการแล้ว กรุณาคลิกที่ลิงก์นี้เพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติม และวิธีการอัปเกรดเป็นเวอร์ชันล่าสุด
คำกล่าวสนับสนุน
Mike Barrett, vice president and general manager, Hybrid Cloud Platforms, Red Hat
“นวัตกรรมในด้านไอทีระดับองค์กรกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากความต้องการใช้ AI และแลนด์สเคปที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลมาจากกฎระเบียบใหม่ ๆ และความต้องการขององค์กรที่ต้องการรวมเรื่องของอธิปไตย (sovereignty) หรือความสามารถในการควบคุม เข้าไปในการลงทุนด้านเทคโนโลยีของตน Red Hat OpenShift 4.20 มอบโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ลูกค้าของเราเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ได้ด้วย เรามอบเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อรวมโครงสร้างพื้นฐานไอทีของลูกค้าให้เป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่เวอร์ชวลแมชชีนแบบดั้งเดิมไปจนถึงเวอร์ชวลแมชชีนที่ใช้แนวทางที่ทันสมัย ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งมาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด ความมั่นใจ และความสามารถในการควบคุมการใช้งาน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่จะมาถึงในปี 2569"
Luc Choubert, vice president, Platform Engineering, Amadeus
"เส้นทางสู่การใช้มัลติคลาวด์ของเราได้รับแรงผลักดันจากความต้องการอย่างมหาศาลด้านขนาดและความเร็วในการย้ายจากไพรเวทดาต้าเซ็นเตอร์และการให้การสนับสนุนวิศวกร 10,000 คนของเรา Red Hat OpenShift ได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรหนึ่งเดียวสำหรับการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ ช่วยให้เราทำให้แอปพลิเคชันสำคัญแบบเรียลไทม์ของเราเป็นอัตโนมัติได้อย่างปลอดภัย ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงการนำไปใช้งาน การเพิ่มประสิทธิภาพ OpenShift ด้วย OpenShift Lightspeed ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถให้ทีมของเราปรับขนาดการทำงานโดยใช้ประโยชน์จาก generative AI เพื่อมอบคำตอบที่รวดเร็วและเข้าใจบริบทให้แก่ผู้ดูแลระบบทุกคนไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีประสบการณ์ในระดับใดก็ตาม เราให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการเน้นสร้างนวัตกรรมให้กับแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องของเวอร์ชันล่าสุดนี้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อความคล่องตัวและความแข็งแกร่งในระยะยาว ที่เราต้องการเพื่อให้บริการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก"
Gustavo de Abreu Fiuza, DevOps engineer, Cloud Platforms, Banco do Brasil
"เมื่อ Banco Brazil เริ่มนำ Kubernetes มาใช้ครั้งแรก เราพบว่าการปรับขนาด Kubernetes เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของละตินอเมริกานั้น มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการมาก การย้ายจาก vanilla Kubernetes ไปยัง Red Hat OpenShift ช่วยลดค่าใช้จ่ายนั้นได้ทันที และยังสามารถขยายกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ของเราไปพร้อม ๆ กัน เราจึงสามารถเพิ่มจำนวน managed applications ได้สามเท่าโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนพนักงาน เราใช้ GitOps อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเรายังเสนอบริการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ ให้กับนักพัฒนาของเรา เพื่อลดต้นทุนต่อแอปพลิเคชัน แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยให้เราใช้พับลิคคลาวด์ได้ด้วยโดยไม่ยุ่งยากผ่าน Microsoft Azure Red Hat OpenShift"
Jim Mercer, program vice president, Software Development, DevOps, and DevSecOps, IDC
"ความท้าทายที่แท้จริงขององค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่การนำ AI มาใช้ แต่คือการเชื่อมไลฟ์ไซเคิลของ AI เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ที่องค์กรใช้อยู่อย่างปลอดภัย แพลตฟอร์ม Red Hat OpenShift มอบเลเยอร์ของความสอดคล้องสม่ำเสมอและความสามารถในการควบคุมที่จำเป็นในการบริหารจัดการแอปพลิเคชันต่าง ๆ ข้อมูล และนโยบายด้านความปลอดภัยทั่วฟุตพริ้นท์ที่แตกต่าง ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ ด้านอธิปไตยทางดิจิทัล และเร่งสร้างนวัตกรรมไปพร้อม ๆ กันได้"
Venkat Ramakrishnan, vice president and general manager, Portworx by Pure Storage
"เรานำเสนอโซลูชันการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ทรงพลัง ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูล Portworx บน Red Hat OpenShift เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลไปจนถึงคลาวด์ และออกไปยังเอดจ์ การให้การรองรับ Red Hat OpenShift 4.20 และการเปิดใช้งาน OpenShift สองโหนดพร้อม arbiter บน Portworx เป็นการขยายความสามารถด้านความแข็งแกร่งของข้อมูล (data resilience) การจัดการ และบริการที่สำคัญข้ามตำแหน่งเอดจ์หลายแห่ง ซึ่งช่วยให้ลูกค้าตระหนักถึงอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานเอดจ์"
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
- เยี่ยมชม Red Hat newsroom for KubeCon North America 2025
- Red Hat OpenShift 4.20 accelerates virtualization and enterprise AI innovation
- Create efficient two-node edge infrastructure with Red Hat OpenShift and Portworx/Pure Storage
- A deeper look at post-quantum cryptography support in Red Hat OpenShift 4.20 control plane
- The strategic shift: How Ford and Emirates NBD stopped paying the complexity tax for virtualization
- Learn more about what’s new for developers in Red Hat OpenShift 4.20
ช่องทางการติดต่อกับเร้ดแฮท
- เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Hat
- รับข่าวสารเพิ่มเติมใน Red Hat newsroom
- อ่าน Red Hat blog
- ติดตาม Red Hat on Twitter
- เข้าร่วม Red Hat on Facebook
- รับชม Red Hat videos on YouTube
- ติดตาม Red Hat on LinkedIn
เกี่ยวกับเร้ดแฮท
เร้ดแฮท คือผู้นำด้านเทคโนโลยีโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ นำเสนอโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ สอดคล้อง และครอบคลุม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมด้านไอที และแอปพลิเคชัน AI กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านคลาวด์, ผลิตภัณฑ์สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์, AI, Linux, ระบบอัตโนมัติ และแอปพลิเคชันแพลตฟอร์มของบริษัทฯ ช่วยให้สามารถใช้งานแอปพลิเคชันใด ๆ ก็ได้ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นในดาต้าเซ็นเตอร์ ไปจนถึง edge ในฐานะผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านโซลูชันซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สสำหรับองค์กร เร้ดแฮทลงทุนด้านระบบนิเวศและชุมชนแบบเปิด เพื่อแก้ไขความท้าทายด้านไอทีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เร้ดแฮทร่วมมือกับพันธมิตรและลูกค้า เพื่อสร้าง เชื่อมต่อ ทำให้เป็นอัตโนมัติ รักษาความปลอดภัย และจัดการสภาพแวดล้อมไอทีให้กับลูกค้าและพันธมิตร โดยได้รับการสนับสนุนจากบริการให้คำปรึกษา รวมถึงบริการการฝึกอบรมและการรับรองที่ได้รับรางวัล
FORWARD-LOOKING STATEMENTS
Except for the historical information and discussions contained herein, statements contained in this press release may constitute forward-looking statements within the meaning of the Private Securities Litigation Reform Act of 1995. Forward-looking statements are based on the company’s current assumptions regarding future business and financial performance. These statements involve a number of risks, uncertainties and other factors that could cause actual results to differ materially. Any forward-looking statement in this press release speaks only as of the date on which it is made. Except as required by law, the company assumes no obligation to update or revise any forward-looking statements.



