สวัสดีชาวโอเวอร์คล๊อกโซน ในยุคการมาของสมาร์ทโฟนจากค่าย Xiaomi ที่เรียกได้ว่าสมารถสร้างกระแสทีดีและความน่าสนใจในตลาด ตั้งแต่ Mi จวบจนมาถึง Mi 11 ก็ได้กระแสตอบรับที่ดีมาตลอด หลังจากที่ทาง Xiaomi ได้เปิดตัว Mi 11 Ultra สมาร์ทโฟนเรือธงที่มีความพรีเมียมมากขึ้นกว่า Mi 11 ที่ Mi 11 Ultra ในการออกอบบจุดต่างๆ ที่เน้นถึงการใช้วัสดุและอุปกรณ์จุดต่างๆที่สร้างเสริมความเป็นระดับพรีเมียมมากขึ้น ซึ่ง Mi 11 Ultra จุดเด่นที่หลายๆคนนั้นสนใจคือในเรื่องของเซ็็นเซอร์กล้อง Samsung ISOCELL GN2 ตัวแรกของโลก ที่มาด้วยขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.12 นิ้ว เรียกได้ว่าขนาดมันใหญ่ที่สุดในตลาดของสมาร์ทโฟนเวลานี้กันแล้ว หัวใจหลักนั้นจะเป็นการใช้ SoC Qualcomm Sanpdragon 888 ที่รองรับเทคโนโลยี 5G ด้วยโมเด็ม X60 ซึ่ง Mi 11 Ultra จะมีทางเลือกของรุ่น Ram (LPDDR5) 12 GB + Rom (UFS 3.1) 256 GB รุ่นเดียวในตลาดโลกเท่านั้น
มาถึงจุดเด่นสำคัญของ Mi 11 Ultra
1.ในเรื่องของเซ็นเซอร์กล้องขนาดใหญ่ที่ความละเอียด 50MP พร้อมกับกล้องมุมกว้าง 48MP และ กล้องซูม ที่ซูมสูงสุด 120 เท่า ที่ความละเอียด 48MP
2. หน้าจอแสดงผลความละเอียด WQHD+ ที่มีความชัดเจนในการมอง พร้อมกับ Refresh Rate 120Hz และ หน้าจอที่สอง พร้อมกับระบบเสียงสเตริโอ ที่จูนโดย Harman Kardon
3. สมาร์ทโฟนระดับเรือธง ย่อมคู่กับ SoC ระดับเรือธง Qualcomm Sanpdragon 888 ที่รองรับเทคโนโลยี 5G เรียบร้อย
4. Turbo Charge 67 Watt พร้อมรองรับการชาร์ตไร้สายที่ 67 Watt ที่มาพร้อมกับแบตความจุ 5000 mAh
Package & Bundled
ตัวกล่องมาด้วยคามเรียบง่ายในสไตล์ของตระกูล Mi ด้วยกล่องสีดำตัดกับสีทองชูความพรีเมียม
ในชุดของที่ให้มา Turbo Charge แบบ 67 Watt ,สายชาร์จแบบ ฤ to C ,คู่มือการใช้งาน ,สายแปลงหูฟัง ,เข็มจิ้มซิม และ เคสซิลิโคนใส
Design & Detail
การออกแบบดีไซน์ถ้าเรามองแต่ด้านหน้าคงยากที่จะดูออกว่ามันคือรุ่นอะไร ด้วยรูปทรงของหน้าจอ 20:9 ช่วยทำให้เครื่องหน้าจอขนาด 6.81 นิ้ว แต่ยังจับมือเดียวได้ถนัด ถ้าใครนิ้วโป้งยาวก็ยังพอใช้งานมือเดียวได้อยู่ โดยขนาดจะอยู่ที่ 164.3 × 74.6 × 8.38 มม. น้ำหนัก 234 กรัม ในยุคสมัยนี้ Xiaomi จะมีการติดฟิล์มกันรอยมาให้จากโรงงาน ตัดปัญหาเรื่องหาฟิล์มยาก หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.81 นิ้ว กระจกด้านหน้า Gorilla Glass 5 ที่เป็นขอบข้างโค้ง 2.5D ทั้งสี่มุม โดยใช้หน้าจอ AMOLED จาก Samsung E4 มีข้อดีในเรื่องการใช้พลังงานต่ำ ตามสเป็คความสว่าง 1700nits Refresh Rate 120 Hz และ Touch Sampling Rate 480 Hz ด้วยความละเอียด WQHD+ ที่ 1444x3200 สัดส่วน 20:9 โดยจะมาพร้อมกับเทคโลโลยี HDR10+ ความลึกของสี 10 Bit ที่หน้าจอของ Mi 11 Ultra ก็ยังได้รับราววัลในส่วนสมาร์ทโฟนหน้าจอสวย ในคะแนน A+ การวางกล้องหน้าตามยุคสมัย 2021 ที่จะเจาะรูกล้องหน้า ลำโพงสนทนาต้องย้ายไปอยู่ขอบเครื่อง ทางด้านเทคโนโลยี NFC ที่ก็ถูกใส่มาให้ ในต่างประเทศน่าจะใช้ประโยชน์ได้จริง ในบ้านเราผมยังไม่เคยใช้งานอะไรแบบต่างประเทศ นอกจากคัดลอกบัตร NFC ลองเล่นๆกันกับพรรคพวก แล้วเขียน Tag NFC กับอุปกรณ์สมาร์ทโฮม
ด้านหลังที่เป็นใช้วัสดุเซรามิก จะมีสีดำและสีขาว ซิ่ง Mi 11 Ultra เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ทำให้รู้สึกว่าพื้นผิวสีขาวมันสวยกว่าสีดำ นอกจากความสวยของสีขาว ที่ผิวนั้นจะเป็นรอยนิ้วมือและโชว์ฝุ่นได้ยาก ที่การออกแบบมีส่วนโค้งนั้นทำให้จับเครื่องได้ถนัดมากขึ้น การออกแบบเหมือนกับการดูมีส่วนผสมส่วนที่เด่นที่สุดจะเป็นบริเวณของกล้อง ที่มีความดูอลังการมากขึ้น ซึ่งขอบมันจะยื่นๆมาหน่อย การใช้งานจริงในชีวิตประจำวันควรต้องใส่เคสป้องกันด้วย โดยในส่วนนี้จะมีหน้าจอ OLED ที่เป็นตัวเดียวกับ Mi Band 5 ไว้แสดงผลข้อมูล หรือ ใช้กล้องหลังถ่ายเซลฟี่ได้ ในกล่องก็มีเคสใสมาให้ที่พอจะสามารถปกป้องเลนส์กล้องได้
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลด้านหลัง ที่ใส่ไว้ก็ได้ประโยชน์ อย่างน้อยดูเวลาและวันที่โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ เคาะเอาก็ติดสว่างขึ้นมา
แกนหลางของตัวเครื่องทำมาจากอลูมิเนียม พร้อมกับผิวภายนอกทำเป็นผิวเงา ด้านขวาที่จะปุ่มพาวเวอร์ที่ พร้อมกับปุ่มเพิ่มและลดระดับเสียง มาตรฐานในการออกแบบของยุคนี้ โดยส่วนตัวชอบที่ปุ่มพาวเวอร์อยู่คนละฝั่งกับการปรับระดับเสียง เพราะปกติที่ใช้งานอยู่กดผิดเป็นจับภาพหน้าจอประจำ
ด้านบนจะมีไมค์ตัดเสียงรบกวน อีกสิ่งเป็นจุดเด่นที่ผมชอบมาก คือ IR Blaster ใช้ควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เวลาตอนที่หลับไป ปกติผมก็หยิบสมาร์ทโฟนมาปิดทีวี หรือ ปรับความเย็นของเครื่องปรับอากาศ สมกับความเป็นระดับเรือธง ลำโพงตัวที่สองจะไม่ได้ใช้รวมกับลำโพงสนทนาโทรศัพท์ ซึ่งการออกแบบที่จะทำให้เสียงออกมาได้ดีกว่าการใช้ลำโพงแบบรวม
ในส่วนด้านล่างที่มีการเชื่อมต่อ USB Type-C พร้อมกับไมค์และลำโพง ถาดใส่ซิมการ์ดที่จะลงมาอยู่ด้านล่าง ถาดใส่ซิมรองรับแบบ Dual Nano Sim Card ที่ตัวถาดจะมียางกันน้ำ โดยทางด้านสเป็คเครื่องรองรับมาตรฐาน IP68 ป้องกันน้ำได้ความลึก 1.5 เมตร ที่ประมาณ 30 นาที
กล้องมาเป็นแผงการออกแบบรูปทรง ยิ่งมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ด้วย มันกล้องถ่ายรูปชัดๆ พร้อมกับทูโทนแฟลช และ เลเซอร์โฟกัส ฟีเจอร์การถ่ายภาพครบเครื่องตามแบบฉบับของ Xiaomi รองรับการถ่ายวีดีโอได้สูงสุดระดับ 8K@30p ที่ได้มีการใส่ชิพ Surge C1 มาช่วยประมวลของภาพด้วย โดยกล้องหลัก Samsung ISOCELL GN2 กันสั่น 4 แกน 50MP F2.0 ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.12นิ้ว กล้องมุมกว้างพิเศษ Sony IMX586 Exmor RS 48MP f/2.2 และ กล้องซูมหรือมาโคร Sony IMX586 Exmor RS 48MP กันสั่น 5 แกน ที่ซูมออฟติคอล 5 เท่า ไฮบริด 10 เท่า รวมไปถึงการซูมดิจิตอล 120 เท่า
กล้องที่จะเป็นการเจาะรูที่หน้าจอ ในการเจาะรูที่ดูไม่ได้ใหญ่มากเหมือนพวกโมเดลในยุค 2020 จะเป็นการใช้เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL S5K3T2 20 MP f/234 รองรับการถ่ายวีดีโอสูงสุด 1080p@60p
หน้าจอที่อยู่ด้านหลังนั้น เอามาใช้ประโยชน์ในการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลังได้ด้วย เรียกได้ว่าสะดวกสบายมากขึ้นครับ กล้องหน้าอาจดูด้อยลงไปเลยทันที เพราะใช้กล้องหลังถ่ายได้นั้นเอง
UI and Setting
การเริ่มต้นเซ็ตอัพเครื่อง สามารถเปิดโหมดตั้งเดิมของ MIUI ที่จะไม่มี App Draw หรือ จะใช้แบบที่มี App Draw
ที่จะมีความแตกต่างจาก Launcher ของ Miui ที่คุ้นเคยกันดี ซึ่งผู้ใช้งานนั้นสามารถปรับแต่ง Ui ได้มากมายจาก Themes สำเร็จรูปหรือตามความต้องการ รองรับ Dark Mode ตามยุคสมัย การทัสหน้าจอที่ให้ความรู้สึกติดนิ้วหรือตามนิ้วที่สั่งดี ให้ความรู้สึกไหลลื่นดี ที่ในการแง่การใช้งานทั่วไปถือว่าดีครับ Navigation bar ผมตั้งให้กลับข้างกัน ถ้าจากถนัดซ้ายและนิ้วโป้งสั้น เวลาจะ Back ย้อนกลับจะไม่ถนัด
ทางด้านของรอมที่จะเป็น Android 11 ครอบด้วย Miui เวอร์ชั่น 12 ที่อีกไม่นานก็จะได้ Miui 12.5
การปรับแต่งการทำงานของตัวเครื่อง ที่จะเป็นมาตรฐานของกลุ่มแบรนด์ Xiaomi ถ้าใครย้ายมาจากแบรนด์อื่นต้องทำความคุ้นชินกันเล็กน้อย ส่วนใครใช้จนติด อาจหนีไปแบรนด์อื่นแล้วไม่คุ้นครับ
การจัดการการเชื่อมต่อ และ การแชร์ข้อมูลต่างๆ ที่ NFC ก็ลองมาดู ไม่ได้ใช้ก็ปิดไปได้ประหยัดพลังงาน ในส่วนของ Android Auto ที่ Xiaomi ยุคใหม่ใช้งานได้เนียนๆ ไม่มีปัญหา ยิ่งเครื่องเสียงรถยุคใหม่รองรับ Android Auto แบบไร้สาย ที่สะดวกมากขึ้น
มาถึง Control Center แบบดั่งเดิม ที่จะรวบรวม Quick Setting และ การแจ้งเตือน เข้ามาอยู่ในการลากหน้าจอจากด้านบนลงมา Quick Setting จะมีแถบบนสุด 5 คำสั่ง ลากลงมาอีกระดับ จะมี 12 คำสั่ง และ ลากลงมาสุดก็จะมีทั้งหมด ที่ผู้ใช้งานสามารถลากปรับตำแหน่งได้ตามความชอบและถนัด
มาถึง Control Center ที่จะเลือกใช้งานได้ทั้งแบบเก่า และ แบบใหม่ ที่จะแบ่งการลากลงมาจากฝั่งซ้ายที่เป็นการแจ้งเตือน และ ฝั่งขวาเป็นส่วนของ Quick Setting ก็สะดวกกับการใช้งานในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
การจัดการแถบแสดงสถานะด้านบน ส่วนใครไม่ชอบ Navigation bar ปิดได้ แล้วใช้การสั่งการจากการปาดหน้าจอกัน ถ้าคุ้นชินเราก็จะมองหน้าจอได้อย่างเต็มตามากขึ้นนั้นเอง
การแสดงผลที่เรียกได้ว่ามีความยืดหยุ่นดี จะใช้ FHD+ เพื่อประหยัดพลังงาน หรือ WQHD+ เพื่อตวามสวยงาม แต่ก็ยังมีการปรับความละเอียดแบบฝันแปร ที่ยังคงได้ความสวยและประหยัดพลังงาน การตั้งค่า Refresh Rate ที่ตั้งได้ 60 และ 120 Hz
การชาร์ตพลังงานเทคโนโลยี Turbo Charge ที่หน้าจะจะขึ้นแสดงชัดเจน พร้อมทั้งระดับความจุแบตที่มีความละเอียดมากขึ้น ส่วนการใช้ที่ชาร์ตมาตรฐาน Quick Charge ก็สามารถใช้งานได้ แต่จะใชเวลาชาร์ตมากขึ้น
การชาร์ตย้อนกลับแบบไร้สาย 10 Watt ที่ต้องมาเปิดเพื่อใช้งาน ระหว่างการเปิดนั้นผู้ใช้งานสามารถเข้ามาปรับตั้งค่าการใช้งาน โดยผมลองชาร์จ iPhone SE 2020 ชาร์จได้ไม่มีปัญหา ซึ่งจังหวะนรกมากในเวลานั้นแบตมือถือผมเหลือ 1% ไม่มีเงินสดติดตัว โดยเป็นจังหวะที่จะต้องเอามือถือมาสแกนจ่ายเงินในร้านสะดวกซื้อ ก็แวะเข้ารถหยิบ Mi 11 Ultra มาเปิดใช้งานชาร์ตไร้สายย้อนกลับ รอดมาได้ ฮ่าๆ
เครื่องศูนย์ไทยจะเป็น Rom Global ที่ Dial ,Contact และ SMS จะเป็นของ Google ถ้าชอบความเป็น Miui ต้องหารอม EEA มา Flash แต่ถ้าจะ Unlock เครื่อง ลงรอม EU จบๆ รอมอัพเดทไวกว่า Global
ประสิทธิภาพในการทดสอบ AnTuTu ที่จัดได้ว่าอยู่ระดับใช้งานได้ดีคะแนนเฉียดแปดแสนจัดได้ว่าแรงระดับหัวแถวของฝั่ง Android อีกสิ่งที่น่าสนใจกับสตอเรจ ที่ใช้ UFS 3.1 ผลการทดสอบที่ออกมาน่าประทับใจครับ แรงกว่า SSD ที่ผมใช้ในคอมพิวเตอร์อยู่หลายๆลูก
มาตรฐาน WiFi 6 เมื่อใช้งานกับ WiFi 6 Router ที่สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตไร้สายที่ความเร็วระดับ Gigabit ได้สบาย รวมไปถึงเทคโนโลยี 5G ที่ความแรงขึ้นกับพื้นที่ในการใช้งาน ในการทดสอบของผมเป็นพื้นที่ชานเมือง ถ้าเทียบกับพื้นที่เดียวกันที่ทดสอบกับเครื่องระบบ 4G ในผู้ให้บริการเดียวกัน วิ่งได้ประมาณ X-3X Mbps เท่านั้น
การใช้งาน
การปลดล็อกตัวเครื่อง ที่สามารถสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหน้า ความไวอาจไม่ได้ไวมาก แต่ความแม่นยำที่ทำได้ดีไม่มีปัญหาอะไร โดยปกติผมเป็นคนที่ลายนิ้วบางมาก ยิ่งช่วงไหนซ่อมรถหรือล้างมือบ่อยๆลายนิ้วแทบไม่เห็น เวลาเดินทางไปต่างประเทศจะมีปัญหามากเวลาสแกนลายนิ้วมือ ก็ใช้งานได้ครับ มาถึงจุดหลักที่อยากจะพูดคือหน้าจอแสดงผลครับ ถึงแม้ตามสเป็คจะเป็นการใช้หน้าจอแสดงผล AMOLED ซึ่งเป็น Samsung E4 ที่ข้อดีของมันคือสีดำเป็นสีดำสนิทดี แต่ในเรื่องของความสว่างสูงสุด 1700 Nits ในการใช้งานพื้นที่แสงมากๆ ก็ยังคงสามารถมองสู้แสงได้ดี มาถึงในเรื่องของสีสันการให้รายละเอียดสีจากภาพที่มองเห็นนั้น สมกับความเป็นระดับเรือธง สวยงามชัดเจน ชัดเจน สดใสครับ
การใช้งานทางด้านความบันเทิง ด้วยขนาดจอ 6.81 นิ้ว แบบ AMOLED ที่เรียกได้ว่าเต็มตาสะใจในการดูหนังหรือดูคลิปวีดีโอต่างๆ คอนเทนต์จาก Netflix ที่รองรับความละเอียดระดับ HD และ เปิด HDR ที่ในการใช้งาน Netflix หรือ Youtube เราสามารถขยายหน้าจอไม่ให้เห็นขอบดำได้ ส่วนกล้องหน้าที่เจาะหน้าจอ อาจให้ความรู้สึกขัดๆตาไปบ้าง ถ้าตั้งใจไปสังเกตุมองมัน ระบบเสียงสเตริโอที่จูนโดย Haman Kardon ก็ให้รายละเอียดเสียงสูงและกลางที่ชัดเจน จุดด้อยจุดเดียวคงเป็นเรื่องของเสียงต่ำ ที่เป็นปัญหาของสมาร์ทโฟน แต่เอาเถอะวางลำโพงมาตำแหน่งที่ดี มิติเสียงที่ออกมาดูกลมกลืนมาก ไม่ได้รู้สึกขัดหูจากตำแหน่งลำโพง
การเล่นเกมที่ด้วยหัวใจหลัก Snapdragon 888 ที่ใช้กราฟฟิก Adreno 660 การเล่นเกมในยุค 2021 ถือว่าทำออกมาได้ดีอยู่แล้ว การเล่นเกมให้ความไหนลื่นที่ดีมาก พร้อมกับการเล่นเกมบนหน้าจอแสดงผลยุคใหม่สัดส่วน 20:9 ที่เล่นกันได้สะดวกดี ยิ่งการใช้หน้าจอแสดงผลที่มี Touch Sampling rate 420Hz ความคุมได้แม่นยำ ที่สำคัญมี GAME TURBO ที่ช่วยจัดการให้เล่นเกมได้ดีที่สุดไร้การรบกวน และ เพิ่มเติมการใช้งานระหว่างการเล่นเกม โดยไม่ต้องออกจากเกม ปัญหาใหญ่สำคัญของ SoC ในระดับเรือธง ก็คือเรื่องความร้อนในการใช้งาน โดย Mi 11 Ultra นั้นนำสามรูปแบบระบบการะบายความร้อนเข้ามาร่วมวงกัน ในการระบายความร้อนด้วยการสัมผัส ,การใช้ของเหลว และ อากาศ การใช้งานหนักต่อเนื่องถือว่าร้อน เอาอยู่ แต่ด้วยฝาหลังเซรามิกที่ทำให้รู้สึกร้อนได้ เพราะเซเรามิกมันคือวัสดุที่ระบายความร้อนได้ดีครับ จานเบรครถซุปเปอร์คาร์ ไฮเปอร์คาร์ ก็ใช้เซรามิก
มันใส่ฟีเจอร์กันมาอย่างครบถ้วน เช่น AI ,HDR ,การถ่ายระยะประชิด หรือ ฟิวเตอร์ต่างๆ ที่ทำออกมาได้ดีตามสไตล์ของ แต่ใน Mi 11 Ultra มันเหมือนจะมีความฉลาดที่มากกว่า โดยหลักจะมีโหมดการใช้งานคือ ถ่ายวีดีโอสโลโมชั่น ,วีดีโอสั้น ,วีดีโอ ,รูปถ่ายปกติ ,50M ,ภาพบุคคล ,ภาพกลางคืน ,พานอรามา และ โปร ยังสามารถใช้ระยะของการถ่ายภาพได้แบบ Ultra Wide ,Wide และ ซูม ตามการรองรับแต่ละโหมด โดยยังรองรับการซูมดิจิตอลได้สูงสุด 120x ที่จัดได้ว่าครบเครื่อง ถ้าลองดูจากภาพถ่ายตัวอย่างด้านท้าย ที่เราจะเห็นว่าระยะ Ultra Wide ,Wide และ ซูม โทนยังมีความแตกต่างกัน ซึ่งตัว Ultra Wide สีท้องฟ้าสวยมาก แต่ตัว Wide การเก็บรายละเอียดทำออกมาได้ดี ในการถ่ายภาพบุคคลที่ทำละลายได้เนียนพอสมควร แต่บางจุดอาจละลายเกินเลยไปบ้างครับ ก็ปรับได้ตามความชอบในภายหลัง **** ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องอยู่ด้านท้ายบทความครับ *** การถ่ายวีดีโอที่ทำเรียกได้ว่ามันทำออกมาได้ดีมาตั้งแต่ Mi 11 ซึ่ง Mi 11 Ultra ทำออกมาได้ดีกว่า กันสั่นต่างๆทำออกมาได้เยี่ยม
ในโหมดการถ่ายภาพแบบมือโปร หลบไป มันมีถ่ายวีดีโอแบบมือโปร ที่สามารถตั้งค่าการซูมเสียงได้ตามระยะ พร้อมกับฟีเจอร์อีกมากมายที่ทำให้ Mi 11 Ultra เป็นสมาร์ทโฟนที่ถ่ายวีดีโอได้ดีไม่เป็นรองใคร ใช้งานสามารถตั้งค่าการถ่ายภาพได้อย่างใจนึกมากขึ้น พร้อมกับการถ่ายวีดีโอที่ได้สูงสุดในระดับ 8K 30FPS
การถ่ายภาพบุคคลที่ทำออกมาได้ดีในสไตล์ของ Xiaomi พร้อมกับโหมดการถ่ายภาพต่างๆอีกมากมาย เช่น ซุปเปอร์มูน แล้วที่น้องทีมงานชอบมากคือ VLOG แต่ที่ผมชอบคือการตั้งระยะเวลาในการเปิดรับแสง
การปรับการทำงานของกล้องถ่ายรูป ที่สามารถปรับได้หลากหลาย ที่น่าสนใจกับใช้งาน Ai เข้ามาช่วยจัดการภาพภ่ายกลางคืนและที่แสงน้อย เพราะตัวนี้รองรับถ่ายมืดสุดๆ อีกทั้งยังรองรับการแก้ไขความบิดเบือนมุมกล้องและใบหน้าได้อีกด้วย
การถ่ายภาพในที่แสงน้อย Mi 11 Ultra นั้นทำออกมาได้ดี ในภาพด้านซ้ายปิดไฟในบ้านหมด และ มีแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ผมไม่ได้เปิดสว่างมาก ก็ถ่ายออกมาได้ดี เห็นรายละเอียดชัดเจน แต่ด้านซ้ายน่าจะเป็นความพีคมาก ถ่ายภาพโดยมีแค่แสงไฟ LED จากแอมป์ และ DAC เท่านั้น ภาพตัวอย่างจะอยู่ด้านล่าง เราสามารถเห็นตัวหนังสือบนตัวแอมป์ที่สามารถอ่านออกได้
ไม่รู้จะเลือกใช้เลนส์กล้องตัวไหนถ่ายดี ถ่ายทีเดียวทุกเลนส์ไปเลย แล้วมาเลือกภาพตามความต้องการในภายหลัง ก็สะดวกดีครับ
Conclusion
Mi 11 Ultra มามองกันที่ประสิทธิภาพของ Snapdragon 888 ความแรงระดับหัวแถวฝั่ง Android ในยุค 2021 เราคงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก การใช้งานไหลลื่น เล่นเกมดี เปิดอะไรก็ทันใต ซึ่งแน่นอนว่าแค่ความแรงนั้นไม่ใช่จุดเด่นทั้งหมดของ Mi 11 Ultra ที่การออกแบบ ,การใช้วัสดุ และ การใช้งานต่างๆ ที่ทาง Xiaomi เรียกได้ว่าใส่ใจกันในทุกๆส่วน ที่ทำให้ Mi 11 Ultra มันเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งตัวที่รู้สึกว่ามันไม่ธรรมดา พรีเมียมตั้งแต่ที่ได้สัมผัสตัวเครื่อง หันหลังไปก็เจอกล้องที่มีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ พอเปิดเครื่องก็พบกับหน้าจอแสดงผลอันสวยงาม พร้อมกับน้าจอด้านหลังที่สะดวกในการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลังคุณภาพสูงมากขึ้น ถ้าพูดถึงจุดที่ด้อยที่สุดของ Mi จาก Xiaomi ตั้งแต่ที่ผมเคยได้ใช้มาตั้งแต่ Mi ตัวแรก Mi 11 Ultra มันคือจุดที่ทาง Xiaomi นั้นพัฒนาเรื่องของกล้องได้อย่างก้าวข้ามมาได้โดยไม่ต้องไปจับมือร่วมกันพัฒนากับผู้ผลิตกล้องระดับโลกแต่อย่างใด ตอนนี้ก็ได้คะแนนการถ่ายภาพอันดับหนึ่งจาก DxOMark ที่น่าสนใจเพราะมันถูกใส่ชิพ Surge C1 มาช่วยประมวลของภาพ ที่เรียกได้ว่ามันคืออีกความสุดของสมาร์ทโฟนที่ไม่ได้ดีแค่การถ่ายภาพ การถ่ายวีดีโอก็ทำออกมาได้ดีครับ เพียงแค่ Mi 11 ยังเอาไปถ่ายหนังสั้นได้เลย ถ้าเป็นการพัฒนาที่เหนือกว่าของ Mi 11 Ultra มันต้องดีกว่าแน่นอน นอกจากนั้น Mi 11 Ultra นั้นได้มีการใช้เทคโนโลยีแบต Silicon Oxygen Anode เช่นเดียวกับรถ EV ที่ช่วยทำให้มีความบางได้สุด และ ยังรองรับการชาร์ตไว ที่ตัวนี้มาพร้อมกับความจุ 5000 mAh ถ้าใช้ที่ชาร์จในชุด แบตเหลือ 0% จะใช้เวลาในการชาร์ตเพียง 38 นาทีเท่านั้น สำหรับวันนี้ผมก็ต้องขอลากันแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ
Price : 3X,XXX บาท
Special Thanks : Xiaomi (Thailand) Inc.