สวัสดีชาวโอเวอร์คล๊อกโซน วันนี้ก็จะพามาสัมผัสสมาร์ทโฟนจากแบรนด์ OnePlus ซึ่งแบรนด์นี้เกิดจากเป็นนักฆ่าเรือธง ค่อยๆเก็บเกี่ยวประสบการณ์จนกลายมาสู่เรือธง ด้วยความเป็น OnePlus ด้วยการพัฒนานั้น ที่ยังคงถึงเน้นความเป็นสมาร์ทโฟนระดับเรือธง โดยยังคงการใช้งานและความรู้สึกในการสัมผัสระดับพรีเมี่ยม OnePlus 9 Series ที่สร้างความฮือฮาในตลาดได้อย่างมาในช่วงนี้ ด้วยการร่วมมือกันพัฒนาจากแบรนด์ Hasselblad ผู้ผลิตกล้องระดับนำนานจากสวีเดน ที่ทาง Hasselblad จะเข้ามาปรับจูนเซ็นเซอร์ ,ซอฟต์แวร์ และ สีสัน ให้ภาพถ่ายที่ออกมานั้นเป็นไปตามของสไตล์จาก Hasselblad ทางด้านประสิทธิภาพความแรง ที่ OnePlus 9 Pro 5G ที่เราได้มีโอกาสมาใช้ได้ชม ด้วยหัวใจหลัก Snapdragon 888 ที่พ่วงโมเด็ม X60-5G ตัวแรงจากฝั่ง Android ในยุค 2021 พร้อมก้บการพกพาและผสานการทำงานร่วมกับ RAM LPDDR5 และ ROM UFS 3.1 ที่ให้ความไหนลื่นในการใช้งาน ทางด้านขของแบตเตอรี่ความจุ 4500mAh มีเทคโนโลยีชาร์จ Warp Charge ทั้งแบบมีสาย 65W และ ไร้สาย 50W อีกสิ่งนึงที่ขาดไปไม่ได้กับการแสดงผลหน้าจอ Fluid AMOLED LTOP ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 3216 x 1440 แบบสัดส่วน 20.1:9 Refresh rate 120Hz (แบบยืดหยุ่น) รองรับการแสงสีรูปแบบ sRGB, DCI-P3 ด้วยความลึกสีลึกในระดับ 10-bit OnePlus 9 Pro 5G จะมีทางเลือกของรุ่น Ram 8 GB + Rom 128 GB และ Ram 12 GB + ROM 256 GB ในราคาระดับหลักสามหมื่น
Package & Bundled
ตัวกล่องมาด้วยสีแดงตามสไตล์ของ OnePlus พร้อมกับการชูโรงแสดงถึงการพัฒนาร่วมกับ Hasselblad
เครื่องที่เราจับมารีวิวให้ได้ชมกัน เป็นเครื่องนอกนะครับ ดูจากภาษาหลังกล่องเครื่องจากจีน
หลายๆจุดของตัวกล่อง นั้นมีการใส่ความเป็น Hasselblad ไว้หลายจุด
ในชุดของที่ให้มา Warp Charger แบบ 65 Watt ,สายชาร์จแบบ C to C ,คูอมือการใช้งาน ,สติกเกอร์ OnePlus ,เข็มจิ้มซิม และ เคสพร้อมกับสติดเกอร์ติดกันเคสกัดพวกขอบและปุ่มของตัวเครื่อง
ตัวเคสที่ออกแบบมาได้ดูเรียบง่ายตามสไตล์ของ OnePlus ด้วยสีที่ให้มาเข้ากับตัวเครื่อง พร้อมกับการออกแบบที่จะสามารถป้องกันในส่วนของกล้องได้ดีระดับนึง
Design & Detail
การออกแบบดีไซน์ถ้าเรามองแต่ด้านหน้าคงยากที่จะดูออกว่ามันคือรุ่นอะไร ด้วยรูปทรงของหน้าจอ 20.1:9 ช่วยทำให้เครื่องหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว แต่ยังจับมือเดียวได้ถนัดแล้วขอบหน้าจอโค้ง ที่ช่วยเพิ่มให้จับถนัดมากขึ้น ถ้าใครนิ้วโป้งยาวก็ยังพอใช้งานมือเดียวได้อยู่ โดยขนาดจะอยู่ที่ 163.2 x 73.6 x 8.7 มม. น้ำหนัก 197 กรัม หน้าจอจะมีการติดฟิล์มกันรอยมาให้ที่ดูจะเหมือนว่าเป็นฟิล์มแบบ hydrogel เพราะหน้าจอมีความคมชัด สีสันสดใสที่ดี หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว กระจกด้านหน้า Gorilla Glass 5 ที่เป็นขอบข้างโค้ง 2.5D แต่หน้าจอแสดงผลไม่โค้ง โดยใช้หน้าจอ Fluid AMOLED LTOP มีข้อดีในเรื่องการใช้พลังงานต่ำ ตามสเป็คความสว่าง 1300 nits Refresh Rate 120 Hz แบบฝันแปร ความละเอียด QHD+ (3216 x 1440) แบบสัดส่วน 20.1:9 โดยจะมาพร้อมกับเทคโลโลยี HDR10+ และการแสดงผลสีที่มีความลึกในระดับ 10 Bit ผู้ผลิตหน้าจอเครมว่าเกรดหน้าจอมันให้คุณภาพระดับโรงหนังและมีความผิดเพี้ยนในการแสดงผลที่ต่ำสุดๆ การวางกล้องหน้าตามยุคสมัย 2021 ที่จะเจาะรูกล้องหน้า ลำโพงสนทนาต้องย้ายไปอยู่ขอบเครื่อง ระบบเสียงสเตริโอ และ Dolby Atmos
ในส่วนของการสแกนลายนิ้วมือ จะถูกซ่อนไว้อยู่ใต้หน้าจอ การใช้งานก็สามารถสแกนได้อย่างรวดเร็วดีครับ แต่ถ้าใครเปลี่ยนฟิล์มกันรอยหน้าจอใหม่ ก็ควรที่จะตั้งค่าใหม่ เพื่อความแม่นยำที่ดี
ด้านหลังที่เป็นกระจก Gorilla Glass 5 แต่ทำพื้นผิวด้าน โดยการสัมผัสการจับตัวเครื่องมีความรู้สึกพรีเมี่ยม รู้สึกแพงของตัวเครื่องสมราคา ที่จะมีทางเลือกของสี Morning Mist ,Stellar Black และ Forest Green ที่เราเอามารีวิวให้ได้ชม ด้านหลังบ่งบอกเพียงแค่ความเป็น OnePlus แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือพื้นที่ของกล้องทั้งหมด 4 ตัว โดยสื่อความเป็น Hasselblad อย่างชัดเจน ที่มีความดูอลังการมากขึ้น ซึ่งขอบมันจะยื่นๆมาหน่อย การใช้งานจริงในชีวิตประจำวันควรต้องใส่เคสป้องกันด้วย เดี๋ยวเลนส์กล้องจะกลับจีน ในกล่องก็มีเคสใสมาให้ที่พอจะสามารถปกป้องเลนส์กล้องได้ แต่เคส After Maket ที่เท่าที่ผมนั่งส่องดูก็ออกแบบมาป้องกันเลนส์กล้องได้ดีขึ้น แต่ต้องแลกมาด้วยความหนาที่เพิ่มขึ้น โดยความพิเศษของ OnePlus 9 Pro 5G นั้นสามารถปล่อยไฟย้อน ในรูปแบบการชาร์จไร้สาย เท่าที่ผมลองใช้ iPhone SE 2020 แปะด้านหลังไปก็สามารถชาร์ตแบบได้ครับ
แกนกลางโครงบอดี้ที่จะใช้วัสดุอลูมิเนียม สีดำเขียวเข้ากับฝาหลังของตัวเครื่อง ฝั่งด้านขวาจะมีปุ่มพาวเวอร์ พร้อมกับสวิทซ์เลื่อนเพื่อเปลี่ยนโหมดรูปแบบการแจ้งเตือน 3 แบบ ที่สะดวกต่อการใช้งาน และ ยากที่จะลั่นจับภาพหน้าจอแบบบางแบรนด์
ด้านขวา มีปุ่มเพิ่มและลดระดับเสียง ที่โดยส่วนตัวผมชอบนะ เพราะมันอยู่คนละฝั่งกับปุ่มพาวเวอร์
ในส่วนด้านล่างที่มีการเชื่อมต่อ USB Type-C พร้อมกับไมค์และลำโพง ถาดใส่ซิมการ์ดที่จะลงมาอยู่ด้านล่าง โดยทางด้านสเป็คเครื่องระบุบมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
ถาดใส่ซิมรองรับแบบ Dual Nano Sim Card ที่ตัวถาดจะมียางกันน้ำ
มาถึงจุดเด่นสำคัญกับเครื่องนี้ ด้วยการร่วมมือการพัฒนากับ Hasselblad ทางด้าน Software และ Hardware กล้องมาเป็นแผง ชวนให้ผมนิดถึงกล้องถ่ายรูปแบบคอมแพ็คสมัยก่อน พร้อมกับทูโทนแฟลช และ Laser Focus ฟีเจอร์การถ่ายภาพ รองรับการถ่ายวีดีโอได้สูงสุดระดับ 8K@30p และ 4K@120p โดยกล้องหลัก Sony IMX789 48 MP f/1.79 , กล้องมุมกว้างพิเศษ Sony IMX766 50 MP f/2.2 ระยะ 14 มม. ,กล้องซูม 8 MP f/2.4 และ กล้องโมโนโครม 2 MP โดยทางด้าน Hasselblad จะเข้ามาปรับปรุงเซ็นเซอร์ เพื่อให้ภาพถ่ายออกมาไม่มีการศูนย์เสียคุณภาพบริเวณขอบๆ และ ความผิดเพียนของภาพ ที่น่าสนใจกับ Hasselblad Pro Mode มาให้ใช้งาน แล้วยังรองรับไฟล์ RAW 12-bit อีกด้วยด้วย
กล้องที่จะเป็นการเจาะรูที่หน้าจอ ในการเจาะรูที่ดูไม่ได้ใหญ่มาก ในการใช้งานถ้าไม่สังเกตุก็ไม่ชวนชัดตา ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471 16 MP f/2.4
UI and Setting
ในส่วนของรอม ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันถูก Flash มาก่อนถึงมือผมหรือเปล่า เพราะจากเครื่องที่ผมแกะมามันก็ใหม่ๆ ยังไม่เคยผ่านมือชายใด รอมนั้นรองรับภาษาไทย และ มี Google Services พร้อมใช้
Oxygen OS ที่โดยภาพรวมนั้นมันมีความใกล้เคียงกับ Pure Android อยู่พอสมควร เพราะในการใช้งานต่างๆและรูปแบบ Ui นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ก็มีหลายๆส่วนที่ถูกปรับแต่ง เพื่อให้มีความเหมาะสมกับ OnePlus ผู้ใช้งานนั้นสามารถปรับแต่ง Ui ได้พอสมควร รองรับ Dark Mode ที่การใช้งานกับหน้าจอ AMOLED ช่วยให้ประหยัดแบตมากขึ้น การทัสหน้าจอที่ให้ความรู้สึกติดนิ้วหรือตามนิ้วที่สั่งดี ให้ความรู้สึกไหลลื่นดี ที่ในการแง่การใช้งานทั่วไปถือว่าดีครับ Navigation bar สามารถตั้งให้กลับข้างกัน ถ้าใครถนัดซ้ายและนิ้วโป้งสั้น เวลาใช้งานจะสะดวกมากขึ้น
ในส่วนของ App Draw ที่มีดูเป็นในแบบฉบับของ Pure Android เอาภาพมาให้ชมกันทั้งแบบธรรมดา และ Darkmode
ทางด้านของรอมที่จะเป็น Android 11 ครอบด้วย Oxygen OS เวอร์ชั่น 11
Quick Setting ที่สามารถลากลงมาเพิ่ม และ ปรับแต่งตำแหน่งเพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้ พร้อมกับแถบการแจ้งเตือนต่างๆ ที่ทำออกมาได้ดีตามสไตล์ Pure Android ด้านขวาเมนูเมื่อกดปุ่มพาวเวอร์ค้าง
ในส่วนของ Alert Slider หรือ การปรับโหมดการแจ้งเตือนที่ด้านข้างเครื่อง ที่โดยภาพรวมนั้นเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้เป็นอย่างดี สลับเปลี่ยนรูปแบบระหว่างสามรูปแบบ
การปรับแต่งการทำงานของตัวเครื่อง ที่ Oxygen OS จะมีจุดและความแตกต่างจาก Pure Android พร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานที่มากกว่า
Oxygen OS จะรองรับการใช้งานร่วมกับ OnePlus Account ที่จะมีบบริการเสริมจาก Cloud Storage สำหรับผู้ใช้งาน OnePlus
การปรับแต่งหน้าจอแสดงผล ที่สามารถปรับแต่งการใช้งานได้หลากหลาย
โทนของสีสัน และ มาตรฐานของสีในการแสดงผล ที่สามารถปรับตั้งได้ตามความชอบ หรือ ใช้งานได้อย่างสบายตา ที่สำคัญการปรับ Refresh Rate 120 Hz ที่ตัวหน้าจอจะมีการผันแปรตามการใช้งาน เพื่อการประหยัดพลังงานสูงสุด แต่ได้ความไหลลื่นในการแสดงผล
ความละเอียดหน้าจอปรับได้สองแบบ FHD+ และ QHD+ ต้องเลือกระหว่างรายละเอียดและการประหยัดพลังงาน ในส่วนของพื้นที่หน้าจอ สามารถกั้นแถบดำในช่วงของกล้องได้ ถ้าใครมองแล้วรู้สึกขัดตากับกล้องก็เปิดได้เลย
ทำกับรถไฟฟ้า Tesla ในต่างประเทศ ที่้สามารถหาจุดชาร์จได้ ในส่วนของ OnePlus ก็มีเช่นกันครับ พร้อมรองรับเทคโนโลยี NFC (คนละอันกับ Wireless Charger หรือ Qi นะ)
การสั่งการของตัวเครื่อง นอกจากการสัมผัส การใช้ท่าทางในการสั่งการก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน ในส่วน Alert Slider สามารถปรับให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานได้
แถบการควยคุม และ การใช้ท่าทางในการสั่งการ สามารถปรับตั้งค่าให้ตรงกับความต้องการ
รูปแบบของ Ui ที่รองรับการตั้งรูปแบบได้มากพอสมควร เลือกได้ตามความชอบของผู้ใช้
ประสิทธิภาพในการทดสอบ AnTuTu ที่จัดได้ว่าอยู่ระดับใช้งานได้ดี แต่คะแนน Sanpdragon 888 ที่ออกมานั้นผมรู้สึกแปลกๆกับมันมาก เพราะมันออกมาใกล้เคียงกับ Sanpdragon 870 ไม่รู้ว่าผมรีบกดทดสอบลองดูตอนเครื่องร้อนๆ หรือ เป็นที่รอม อีกสิ่งที่น่าสนใจกับสตอเรจ ที่ใช้ UFS 3.1 ผลการทดสอบที่ออกมาน่าประทับใจครับ แรงกว่า SSD ที่ผมใช้ในคอมพิวเตอร์อยู่หลายๆลูก
มาตรฐาน WiFi 6 เมื่อใช้งานกับ WiFi 6 Router ที่สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตไร้สายที่ความเร็วระดับ Gigabit ได้สบาย รวมไปถึงเทคโนโลยี 5G ที่ความแรงขึ้นกับพื้นที่ในการใช้งาน ในการทดสอบของผมเป็นพื้นที่ชานเมือง ถ้าเทียบกับพื้นที่เดียวกันที่ทดสอบกับเครื่องระบบ 4G ในผู้ให้บริการเดียวกัน วิ่งได้ประมาณ X-1X Mbps เท่านั้น แต่ลองสังเกตุในส่วนของค่า Ping ที่ X60-5G มันทำออกมาได้ใกล้เคียงกับอินเตอร์เน็ตแบบ VDSL แล้ว ซึ่งตัวอื่นที่เป็นโมเด็ม X55-5G ที่ผมเคยได้ลองค่า Ping มันระดับ ADSL
การใช้งาน
การปลดล็อกตัวเครื่อง ด้วยสแกนนิ้วใต้หน้าจอ ที่ความไวถือว่าทำออกมาได้รวดเร็ว โดยปกติผมเป็นคนที่ลายนิ้วบางมาก ยิ่งช่วงไหนซ่อมรถหรือล้างมือบ่อยๆลายนิ้วแทบไม่เห็น ก็ใช้ยังคงใช้งานได้ ลองเอานิ้วที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ก็ไม่สามารถสแกนได้ครับ อยากจะพูดคือหน้าจอแสดงผลครับ Fluid AMOLED LTOP เอาใจผมไปเลยครับ ทั้งในเรื่องของความสดใส สีสันที่ออกมา นั้นสามมรถทำออกมาได้ดี พร้อมทั้งยังสามารถสู้แสงได้ดีใช้ได้ เอาเป็นว่าหน้าจอที่ใส่มากับ OnePlus 9 Pro 5G สมกับความเป็นสมาร์ทโฟนในระดับเรือธงจริงๆ ทั้งสเป็คและหน้าจอทำออกมาได้ดีเชียว
การใช้งานทางด้านความบันเทิง ด้วยขนาดจอ 6.7 นิ้ว แบบ AMOLED ที่เรียกได้ว่าเต็มตาสะใจในการดูหนังหรือดูคลิปวีดีโอต่างๆ คอนเทนต์จาก Netflix ที่รองรับความละเอียดระดับ HD และ รองรับ HDR ที่ในการใช้งาน Netflix หรือ Youtube เราสามารถขยายหน้าจอไม่ให้เห็นขอบดำได้ โดยภาพรวมคือสวยมาก ส่วนกล้องหน้าที่เจาะหน้าจอ อาจให้ความรู้สึกขัดๆตาไปบ้าง ถ้าตั้งใจไปสังเกตุมองมัน ระบบเสียงลำโพงสเตริโอ ถึงแม้ตามสเป็คจะไม่ได้ชูการเป็น Hi-Res Audio แต่ตามสเป็ครายละเอียดที่มันรองรับกันแบบ Hi Res Audio กันแล้ว ที่ 24Bit/192kHz ซึ่งความดังของเสียงที่ดี รายละเอียดเสียงสูง เสียงกลางจัดเจน ที่เสียงเบสจะบางไปหน่อย แต่อย่าลืมนะ นี่มันคือสมาร์ทโฟนทำเสียงเบสไปสู้หูฟังหรือลำโพงบูลทูธไม่ได้หรอก พร้อมรองรับเทคโนโลยี Dolby Atmos ที่ให้เสียงมีความกระหึ่มได้เป็นอย่างดี ทั้งภาพและเสียงสมกับความเป็นระดับเรือธงครับ
การเล่นเกมที่ด้วยหัวใจหลัก Snapdragon 888 ที่ใช้กราฟฟิก Adreno 660 การเล่นเกมในยุค 2021 ก็สามารถทำได้ดีที่สุดในฝั่งของ Android กันแล้ว การเล่นเกมให้ความไหนลื่นที่ดี ซึ่งถึงแม้ทาง OnePlus จะได้ใส่เทคโนโลยี Cool Play ที่ได้ใช้ vapor chamber , แผ่นกราไฟท์ และ ฟอยล์ทองแดง ความร้อนที่ปล่อยออกมานั้นก็ชวนรู้สึกตกใจได้ถ้าเล่นกันต่อเนื่องยาวนาน
ที่สำคัญมี Gaming Tools ที่ช่วยจัดการให้เล่นเกมได้ดีที่สุดไร้การรบกวน และ เพิ่มเติมการใช้งานระหว่างการเล่นเกม โดยไม่ต้องออกจากเกม ปรับโหมดการทำงานของตัวเครื่อง เพื่อให้ให้มีการโดนขัดจังหวะ หรือ รอการแจ้งเตือนระหว่างการเล่นเกมยามว่าง
UI และ การใช้งานของกล้อง
กับการใช้งานกล้องที่ OnePlus 9 Pro 5G ได้ให้ทาง Hasselblad เป็นผู้พัฒนา ทางด้าน UI นั้นเรียกว่ามันใช้งานได้ไม่ยาก และ ถูกใส่ฟีเจอร์กันมาอย่างครบถ้วน เช่น AI ,HDR ,การถ่ายระยะประชิด ที่ทำออกมาได้ดีมาก โดยหลักจะมีโหมดการใช้งานคือ โปร ยังสามารถใช้ระยะของการถ่ายภาพได้แบบ Ultra Wide ,Wide และ Zoom 3.3x ตามการรองรับแต่ละโหมด โดยยังรองรับการซูมดิจิตอลได้สูงสุด 30x ที่จัดได้ว่าครบเครื่อง ถ้าลองดูจากภาพถ่ายตัวอย่างด้านท้าย ที่เราจะเห็นว่าระยะ Ultra Wide ,Wide 1x และ ซูม โทนสีของภาพจากเลนส์ทั้งสามระยะออกมาใกล้เคียง โหมดกลางคืนทำออกมาได้ดี โดยไม่ต้องพึ่ง Gcam ถึงไม่ต้องเปิดโหมดกลางคืน ถ้าบริเวณที่ถ่ายภาพมีแสงมากพอสมควรก็สวยใช้ได้แล้ว ในการถ่ายภาพบุคคลที่ทำละลายได้เนียนใช้ได้ แต่บางจุดอาจละลายเกินเลยไปบ้างในช่วงผมของแบบที่ถ่าย **** ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องอยู่ด้านท้ายบทความ ภาพกล้องหลังมีลายน้ำ และ ภาพกล้องหน้าไม่มีลายน้ำ*** การถ่ายวีดีโอที่ทำได้ตามราคา การกันสั่นที่ทำออกมาอย่างน่าพอใจ
โหมดการถ่ายภาพต่างๆ ที่มีให้ใช้งานได้หลากหลายตามความต้องการ แต่ข้อสังเกตุในหลายๆโหมด ถ้าปรับภาพแบบความคมชดรายละเอียดสูง จะไม่สามมรถเลือกใช้งานเลนส์ซูมได้
ในโหมดการถ่ายภาพแบบมือโปร ที่ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการถ่ายภาพได้อย่างใจนึกมากขึ้น ยังสามารถรองรับการถ่ายภาพที่ความละเอียดสูง ที่ผมชอบคือการถ่ายมาโครครับ มีเลซอร์โฟกัสด้วย ระยะประชิดที่ทำออกมาได้ดี
ตาเราอาจไม่สามารถมองเห็นกับเลเซอร์โฟกัส แต่กล้องสามารถจับภาพได้ ซึ่งในการถ่ายมาโครจะมีข้อเสียกับบางวัสดุและมุมที่ถ่าย อาจติดแสงจากเลเซอร์ได้ ในภาพตัวอย่างข้างล่างก็มีให้เห็นครับ
การปรับตั้งค่าการทำงานของกล้อง ที่มีให้ปรับได้อย่างครบถ้วน จัดได้ว่าลงตัว ไม่ต้องพึ่ง G Cam กันแล้ว
Conclusion
OnePlus 9 Pro 5G ก็เป็นอีกหนึ่งของความที่สุดของสมาร์ทโฟนระดับเรือธงในยุค 2021 และ มีความเหนือชั้นที่สุดจาก OnePlus 9 Series ซึ่งทางด้านประสิทธิภาพความแรงของ OnePlus 9 Pro 5G ในยุค 2021 การใช้งานและความแรงของมันคืออีกหนึ่งระดับหัวแถวจากฝั่ง Android ทีทาง OnePlus นั้นคงใส่กับการใช้งานของมันออกมาได้อย่างสมกับความเป็นเรือธงในระดับพรีเมียมของแบรนด์ ที่ให้ความรู้สึกความแพงตั้งแต่การจับสัมผัส พร้อมกับหน้าจอแสดงผลที่คงดีที่สุดจากสมาร์ทโฟนที่ผมเคยจับมาในปีนี้ ซึ่งอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ OnePlus 9 Pro 5G ด้วยการพัฒนาระบบการถ่ายภาพกับแบรนด์ผู้ผลิตกล้องในตำนานอย่าง Hasselblad ถึงแม้เซ็นเซอร์ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ Sony IMX มาปรับปรุง แต่ทางด้านของ Software และ การจูนสีของภาพ ที่ OnePlus 9 Pro 5G ก็ทำออกมาได้ดีน่าประทับใจ ที่ตัวเลขความละเอียดของเลนส์ 48+50+8+2 Mp อาจไม่ถูกใจสายสเป็คกระดาษซักเท่าไร แต่ภาพที่ผมได้ลองถ่ายเนี่ยประทับใจ การใช้งานหนักหรือเล่นเกมต่อเนื่อง ตัวเครื่องมีร้อนบ้าง เพราะมันมีระบบระบายความร้อน Cool Play ที่ทำงานออกมาได้ดีใช้ได้ แม้ Snapdargon 888 จะปล่อยความร้อนออกมามาก แต่ก็ร้อนในระดับที่พอจะรับได้โดยส่วนตัวผม แต่ถ้างบประมาณมีน้อยกว่า ลองดูเป็น OnePlus 9 ที่จะมีการลดทอนลงมาจาก OnePlus 9 Pro ไม่มากนัก ขอย้ำอีกครั้ง OnePlus 9 Pro 5G ตัวเครื่องที่ผมได้นำมาทดสอบคือเครื่องหิ้ว ในระดับราคาหลักสามหมื่น ถ้าไม่สนใจบริการหลังการขายของศูนย์ไทย ได้จับก่อนเปิดตัวและวางขายในไทย ถ้ามีงบประมาณมากพอ ซื้อมาใช้ได้ไม่ต้องคิดมาก สำหรับวันนี้ผมก็ต้องขอลากันแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ