สวัสดีชาวโอเวอร์คล๊อกโซน ในยุค 2020 ที่ตลาดของสมาร์ทโฟนในระดับราคาประมาณช่วงสี่พันกว่าบาท นั้นเรียกได้ว่ามีการแข่งขันสูงมาก ทุกแบรนด์ที่มีการทำตลาดราคาช่วงนี้ ก็พอกันออกแบบและอัดสเป็คกันมาก ยากที่จะตัดสินใจกันเลยทีเดียว ซึ่ง แบรนด์ Redmi แบรนด์ลูกจาก Xiaomi ที่นอกจากการอัดสเป็ค ก็ยังมีการซอยรุ่นกันชวนสับสนได้ โดย Redmi 9 ที่ทางด้านการพัฒนานั้นถ้าเทียบกับ Redmi 8 ,7 และ 6 ที่ผมเคยซื้อมาใช้งาน จัดได้ว่า Xiaomi มีการใส่การใช้งานและอัดสเป็คให้มีการใช้งานที่ครบเครื่องในราคาสี่พันต้นๆ Redmi 9 ที่จัดสเป็คกันอย่างอัดแน่นด้วยกล้องหลัง 4 ตัว แบต 5020 mAh หน้าจอ 6.53 นิ้ว แรม 4 GB รอม 64GB ผนวกกับการใช้ซีพียู MediaTek Helio G80 เบอร์เดียวกับ Redmi Note 8 ที่ออกมาปีที่แล้ว ด้วยราคาที่สูงกว่า Redmi 9
Package & Bundled
แพคเกจมาสไตล์ดูเรียบง่ายตามสไตล์ Redmi ที่ด้านหน้าจะพิมพ์ลายเครื่องดูสวยงาม โดยของในชุดที่จะมีคู่มือ, เข็มจิ้มซิม, สาย USB Type-A to Type-C,ที่ชาร์จ 10 Watt และ เคสใส
Design & Detail
การออกแบบดีไซน์ถ้าเรามองแต่ด้านหน้าคงยากที่จะดูออกว่ามันคือรุ่นอะไร ด้วยรูปทรงของหน้าจอ 19.5:9 ช่วยทำให้เครื่องหน้าจอขนาด 6.53 นิ้ว แบบหยดน้ำ โดยยังจับมือเดียวได้ถนัด ถ้าใครนิ้วโป้งยาวก็ยังพอใช้งานมือเดียวได้อยู่ โดยขนาดจะอยู่ที่ 163.3 x 77 x 9.1 มม. น้ำหนัก 191 กรัม โดยจะมีการติดฟิล์มกันรอยมาให้จากโรงงาน ตัดปัญหาเรื่องหาฟิล์มยาก จุดเด่นด้วยกล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูงสุด 13 ล้าน ,แบตความจุ 5020 mAh พร้อมรองรับการชาร์จไว 18 วัตต์ ,หน้าจอความละเอียด FHD+ ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าที่ 83.2 % ของตัวเครื่อง และ SoC Mediatek Helio G80 ความเร็วสูงสุด 2 Ghz
หน้าจอแสดงผล IPS ขนาด 6.53 นิ้ว กล้องหน้าแบบหยดน้ำ ความละเอียด FHD+ สัดส่วน 19.5:9 ด้วยการออกแบบตัวเครื่องหน้าจอมช้พื้นที่ได้ 83% ของตัวเครื่อง สีสันในการแสดงผลที่ถือว่าทำออกมาได้ดี พร้อมกับการใช้กระจก Corning Gorilla Glass 3 เรื่องความไหลลื่นในการทัส ลืม Redmi ในยุคก่อนหน้า Redmi 7 ไปได้เลย ต่างกันเยอะมาก
ด้านหลังที่ทำดูเหมือนอลูมิเนียม แต่จริงๆมันเป็นพลาสติกสีมีการไล่เฉดดูสวยงาม ที่การออกแบบมีส่วนโค้งนั้นทำให้จับเครื่องได้กระชับมากขึ้น พร้อมกับพื้นที่ในการสแกนลายนิ้วมือที่มีความรวดเร็วในการปลดล็อก แต่อยู่บริเวณใต้กล้อง มีโอกาศไปแตะโดนที่หน้ากล้องแทนได้ ตัวเครื่องที่ผมได้รับมาทดสอบเป็นสี Sunset Purple โดยจะมีทางเลือกของสีคือ Carbon Gray, Ocean Green และ Pink/Blue
แกนกลางโครงบอดี้ที่จะใช้พลาสติก แต่การทำพื้นผิวที่ดูมีความคลายอลูมิเนียมมาก ฝั่งด้านซ้ายจะไม่มีปุ่มกด แต่จะมีถาดใส่ Nano Sim Card 2 ช่อง พร้อมกับช่อง Micro SD Card
ด้านซ้ายที่จะปุ่มพาวเวอร์ พร้อมกับปุ่มเพิ่มและลดระดับเสียง สีเดียวกับตัวเครื่อง ก็ดูกลมลื่นกันดีครับ
ด้านล่างนั้นที่หลายๆคนคงจะดีใจ รองรับการเชื่อมต่อชุดหูฟัง 3.5 มม. ไมค์โครโฟน ลำโพง และ พอร์ต Type-C ที่ให้มาตามยุคสมัยเทคโนโลยี
ด้านบนมาโล่งๆ จะมีไมค์ตัดเสียงรบกวนมาอีก 1 ตัว พร้อมกับ IR Blaster ใช้ใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้สะดวกสบาย
กล้องหลัง 4 ตัว ที่พร้อมกับแฟลช LED ฟีเจอร์การถ่ายมีมาให้ใช้งานได้ตามพื้นฐานในยุค 2020 รองรับการถ่ายวีดีโอได้สูงสุดระดับ 1080p@30p โดยกล้องหลังตัวหลัก 13 MP f/2.2 ,กล้องมุมกว้างพิเศษ 8 MP f/2.2 ,กล้องมาโคร 5 MP F2.4 และ กล้องชัดลึก 2 MP f/2.4
กล้องหน้าแบบที่ถูกใส่อยู่ในพื้นที่หน้าจอหยดน้ำ โดยตัวเซ็นเซอร์ 8 MP f/2.0 รองรับการถ่ายวีดีโอ FHD 30Fps พร้อมกับโหมดการถ่ายภาพหน้าเนียน
การใช้งาน
ทางด้านของรอมที่จะเป็น Android 10 ครอบด้วย ?ณ๊ณ เวอร์ชั่น 10 ซึ่งผู้ใช้งานนั้นสามารถปรับแต่ง Ui ได้มากมายจาก Themes สำเร็จรูปหรือตามความต้องการ รองรับ Dark Mode ตามยุคสมัย การทัสหน้าจอติดนิ้วทำได้ดี สีสันสดใสสู้แสงได้ดีพอสมควร เอาเป็นว่าในช่วงระดับราคา
สี่พันกว่าบาท ยากที่จะเอาตัวไหนมาเทียบ
ประสิทธิภาพในการทดสอบ AnTuTu ด้วยการใช้ Soc MediaTek Helio G80 คะแนนที่จะออกมาราวๆประมาณสองแสน การใช้งานทั่วไป มันก็สามารถตอบสนองการใช้งานได้ดีมาก ด้วยแบตความจุระดับ 5020mAh การใช้งาน 1 วัน ที่ทำได้สบายๆ
การใช้งานทางด้านความบันเทิง คอนเทนต์จาก Netflix ที่รองรับความละเอียดระดับ Full HD ระดับ L1 ด้วยจอความละเอียดหน้าจอระดับ FHD+ ก็ถือว่าสมน้ำสมเหนือกัน ความคมชัด สีสันสดใส เสียงที่ออกมามีให้ได้ยิน
การเล่นเกมที่ด้วยหัวใจหลัก MediaTek Helio G80 แต่ถ้าเป็นเกมถือว่าระดับเครื่องราคานี้กินขาดเลยครับ ถ้าเน้นภาพสวยๆบางเกมอาจมีสะอึกบ้าง แต่ถ้าจะเน้นลื่นๆก็ลดความสวยของภาพลงมา
กับการใช้งานกล้องที่โหมดการใช้งานก็มีตามความน่าจะเป็นในยุค 2020 มาทั้ง AI, HDR และ Filters แต่จะไม่มีโหมดถ่ายภาพกลางคืน การถ่ายภาพบุคคล พร้อมการแต่งหน้าเนียนที่มีมาให้ใช้งานได้ ถ้าถ่ายภาพในที่แสงมากพอ ภาพที่ถ่ายออกมาได้ก็ดูดีพอสมควร แต่ถ้าแสงน้อยนอยส์,มาพอสมควร ถ้าลองดูจากภาพถ่ายตัวอย่างด้านท้าย ที่เราจะเห็นว่าระยะ Ultra Wide 0.6x เทียบกับ Wide 1x หรือ Zoom 2x โทนสีที่มีความแตกต่างกันชัดเจน การถ่ายภาพช่วงกลางคืนที่มือต้องนิ่งๆ ภาพที่ออกมาก็พอดูได้ **** ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องอยู่ด้านท้ายบทความครับ *** การถ่ายวีดีโอรองรับสูงสุดระดับ FHD 30 FPS อีกทั้งยังมีโหมด Slow motion และ Short video
ในโหมดการถ่ายภาพแบบมือโปร ทีสามารถเลือกระยะเลนได้ตามความต้องการ
ถาดใส่ซิมที่จะมีขอบยางกันน้ำด้วย คาดว่าการออกแบบตัวเครื่อง ที่พอจะป้องกันละอองน้ำได้ระดับนึง
Conclusion
Redmi 9 จะมีทางเลือกกับ RAM 3 GB + ROM 32 GB ,RAM 6 GB + ROM 128 GB และ RAM 4 + ROM 64 GB ที่เป็นโมเดลย่อยตัวกลางของ Redmi 9 ด้วยระดับราคาประมาณสี่พันกว่าบาท ด้วยการใช้หัวใจหลัก MediaTek Helio G80 ที่ทำให้การใช้งานของ Redmi 9 นั้นจัดได้มีความน่าสนใจได้เป็นอย่างดี ในการใช้งานทั่วไป หรือ การเล่นเกม ที่ Redmi 9 สามารถตอบสนองได้คุ้มกับราคา แต่ก็กลัวอยู่อย่างเดียวว่าจะมาแถมแพ Redmi 6 ที่ใช้ MediaTek Helio P22 ในส่วนการใช้งานของ Redmi 9 ที่ MIUI 11 เรียกได้ว่าจูนรอมออกมาดี มีฟีเจอร์การใช้งานได้อย่างครบเครื่องลงตัวในการใช้งานจริง สิ่งที่ผมไม่ค่อยประทับใจก็คือในเรื่องของกล้องถ่ายรูป ที่กล้อง Ultra Wide ที่เรียกได้ว่าคุณภาพนั้นอย่าไปคาดหวังกับความคมชัดหรือความสวยงามของภาพอะไรมากนัก Redmi 9 ก็คงจะเหมาะกับสมาร์ทโฟนที่เน้นการใช้งานพื้นฐานในยุค 2020 ทั้งการใช้งานและความบันเทิง ถ้ามีงบประมาณระดับสี่พันกว่าบาท Redmi 9 RAM 4 + ROM 64 GB เป็นทางเลือกที่จัดได้ว่าเด็ดหาตัวอื่นมาเทียบเท่าได้ยาก สำหรับวันนี้ผมก็ต้องขอลากันแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ
Price : Ram 4 GB + Rom 64 GB : 4,XXX บาท
Special Thanks : Xiaomi (Thailand) Inc.