กฏพื้นฐานของราคาอย่างนึงก็คือ Demand & Supply หรือแปลง่ายๆก็คือ ความต้องการของตลาด และ สินค้าที่มี ถ้าความต้องการของตลาดมีสูง แต่จำนวนสินค้าในสต๊อกมีต่ำ สิ่งที่จะตามมาก็คือ ราคานั้นจะต้องพุ่งขึ้นสูง แต่ถ้าความต้องการของตลาดมีต่ำ แต่สินค้าในสต๊อกนั้นล้นเหลือ สิ่งที่จะตามมาก็คือ ราคาก็ต้องปรับตัวลงนั่นเองครับ
เรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่เกิดขึ้นกับทุกตลาด อย่างคอมพิวเตอร์ก็ไม่เว้น .. คุณลองมองย้อนไปในช่วงเหมือง Cryptocurrency สิครับ ตอนนั้นใครก็อยากได้การ์ดจอ แต่มันผลิตออกมาไม่ทัน รวมไปถึงเจอสภาวะชิปขาดตลาดด้วย และยังเจอเหล่าพ่อค้าหน้าเลือดกักตุนของไม่เอาออกมาขายอีก เราจึงได้เห็นสินค้าประเภทการ์ดจอราคาพุ่งขึ้นไปหลายเท่าตัว .. หรือ Playstation 5 ตอนเปิดตัวก็เช่นกัน ตอนนั้นทุกคนก็อยากได้มันมาครอบครอง แต่ทางผู้จัดจำหน่ายมีสต๊อกไม่มาก จึงเป็นที่มาของพวกกักตุนของโก่งราคาอย่างที่เห็นๆกัน
แต่สำหรับตลาดของ Memory ทั้งหลาย ที่ประกอบไปด้วย NAND Flash สำหรับ SSD และ Memory ที่ใช้กันใน RAM แล้วหล่ะก็ ช่วงหลังนี้เรียกได้ว่าไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ (ไม่ดีสำหรับผู้ผลิตนะ) เพราะความต้องการของตลาดนั้นต่ำ แต่ของยังมีสต๊อกล้นกันอยู่ ทำให้ไม่สามารถทำกำไรได้ดีนัก
รายงานล่าสุดจาก Citigroup ก็ออกมาบอกว่า แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าประเภท Memory ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Samsung, SK Hynix, และ Micron ต่างก็กำลังจะแก้ปัญหานี้ด้วยการ ลดกำลังการผลิตลง เพื่อให้สอดคล้องกับกฏ demand supply ที่ว่าไปก่อนหน้า โดย SK Hynix และ Micron ได้เริ่มแผนนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วน Samsung ก็กำลังจะทำตามด้วยเช่นกัน
การกระทำแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะทำให้บริษัทนั้นอยู่รอด เพราะว่าในช่วงไตรมาสที่หนึ่ง ทาง Samsung นั้นอาจจะขาดทุนในตลาด Semiconductor ไปถึงระดับสามล้านล้านดอลล่าร์ และอาจจะแย่กว่านั้นอีกในไตรมาสที่สอง .. ถ้าทางบริษัทไม่หาวิธีในการแก้ไขปัญหาราคา NAND Flash ตกต่ำที่มีอยู่ตอนนี้ อาจมีหายนะเกิดขึ้นกับทางบริษัทและสูญเสียตำแหน่งทางการตลาดไปเลยก็เป็นไปได้
ซึ่งตอนนี้ถ้าใครไปค้นหา Keyword เกี่ยวกับ DRAM และ NAND Production Cut คุณก็จะเห็นว่ามีข่าวที่รายงานออกมาหลายแหล่ง จากทางหลายบริษัท ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา ซึ่งก็เป็นสัญญาณให้เห็นว่าแผนการลดกำลังการผลิตนี้ได้เริ่มขึ้นมาซักระยะแล้ว เพื่อที่จะทำให้สินค้าในตลาดไม่ล้นไปมากกว่านี้ .. ซึ่งถ้าบริษัทยังคงมีการผลิตออกมาเท่าเดิม ก็เป็นไปได้ว่าของจะล้นออกมามากกว่านี้ และด้วยความต้องการที่ลดลง ราคาก็จะถูกเกินไปจนบริษัทนั้นไม่สามารถทำกำไรได้
ส่วนเราผู้บริโภคก็เตรียมรับมือกันไว้ครับ .. จริงๆอาจจะไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรมากมาย เพราะจากที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเราได้ใช้ของถูกกันจนเคยตัวจะดีกว่า เพียงแค่ต่อไปนี้ราคามันอาจจะกลับไปอยู่ในจุดที่มันควรจะเป็นเท่านั้น .. แต่จะว่าไปแล้ว ในฐานะผู้บริโภคเองผมก็ไม่ชอบหรอกครับ เพราะยื่งถูกเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับผู้บริโภคเท่านั้น เพียงแค่ถ้ามันถูกเกินไป ถูกจนบริษัทไม่สามารถทำกำไรได้ สถานการณ์แบบนี้มันก็จะต้องเกิดขึั้นเท่านั้นเอง
ข้อมูล : Wccftech