ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ SSD หรือ Harddisk จานหมุนมาเป็น Storage ประจำคอมพิวเตอร์คู่ใจ .. แน่นอนว่าคุณคงจะต้องเตรียมใจไว้อย่างนึงว่า มันมีความเสี่ยงที่ถ้าคุณไม่ Backup ข้อมูลแล้วหล่ะก็ วันดีคืนดี SSD หรือ HDD คุณมันอาจจะเสียขึ้นมาแบบกระทันหัน และอาจจะทำให้ข้อมูลของคุณหายไปตลอดกาลก็ได้
สำหรับคนที่ใช้ Harddisk จานหมุนนี่ไม่เท่าไหร่ครับ เพราะก่อนที่มันจะพัง มันจะมีสัญญาณบอกก่อน ไม่ว่าจะเป็น Bad Sector หรือการทำงานที่ช้าลงอย่างผิดปกติ ซึ่งตรงนี้ผู้ใช้งานก็อาจจะไหวตัวทัน เอาข้อมูลไป Backup ไว้ที่อื่นก่อน หรือว่าถ้ามันเสียไปแล้วก็ยังพอมีวิธีกู้ข้อมูลที่ไม่ยากเท่าไหร่ (ถ้าไม่ได้เสียหายทางกายภาพ แบบโดนทุบ โดนเจาะ โดนทำลายอะนะ) .. ส่วนของ SSD นี้ถึงแม้ประสิทธิภาพจะสูงจริง ใช้งานแล้วเร็วกว่า HDD จริง แต่ถ้าใครเจอมันพังหล่ะก็ ฝันร้ายเลยครับ ประมาณว่าอยู่ดีๆ มันก็ตาย เปิดไม่ติดซะอย่างนั้น จะเอามากู้ข้อมูลก็จัดว่าลำบากกว่า HDD จานหมุนหลายเท่าตัว
Samsung ก็เหมือนจะพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการเปิดตัว Product ใหม่ในยุคของ PCIe Gen 4 นี้ ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า FIP หรือ Fail-in-place .. หลักการคือมันจะมี Software คอย Monitor ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับชิพ NAND (หน่วยเก็บข้อมูล) ของ SSD และแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง .. ส่วนที่เสียหายก็อาจจะเสียไปจริง แต่ส่วนที่ไม่เสียหายนั้นก็จะยังใช้งานต่อไปได้ แทนที่จะตายไปอย่างเงียบๆทั้งลูก
ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ FIP เนี่ยดูจะล้ำกว่าที่คิด ก็คือมันจะทำการ Scan หาข้อมูล (Data) ในส่วนของไดรฟ์ที่เสียหาย และย้ายมันไปอยู่ในส่วนที่ยังทำงานได้ปกติได้ด้วย พูดง่ายๆก็ค้ลายๆกับการทำ Data Recovery หรือการกู้ข้อมูลในตัวนั่นเอง
ข้อเสียของ SSD ที่มีเทคโนโลยีนี้ ถึงแม้จะไม่พังทันที แต่ทุกครั้งที่ NAND มีความเสียหาย SSD จะยังใช้ต่อไปได้ เพียงแค่จำนวนความจุของ SSD โดยรวมนั้นก็จะลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเสียหายจนหมดนั่นเอง .. แต่ที่เขียนไว้ว่ามันไม่มีวันพัง ก็เป็นเพราะว่า SSD รุ่นนี้ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในกลุ่ม Data Center ซึ่งกลุ่มลูกค้าเหล่านี้มีการตรวจสอบอุปกรณ์ของตัวเองอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว เทคโนโลยีนี้จะทำให้การสำรองข้อมูล และบริหารจัดการ Hardware นั้นง่ายดายขึ้นมาก .. ถ้ามันมีปัญหาขึ้นมา ผู้ใช้งานจะมีเวลาเตรียมตัว โยกย้าย Storage ไม่ต้องมาเสี่ยงว่าอยู่ดีๆ ข้อมูลจะบินไปทั้งลูก โดยที่ไม่มีบอกกล่าว พอมาเป็นแบบนี้แล้ว ปัญหาเรื่อง Downtime ก็จะหายไปอย่างสิ้นเชิงด้วย
หลักๆแล้ว SSD นี้ก็จะมีอยู่สองรุ่น คือ PM1733 และ PM1735 .. สำหรับรุ่น PM1733 ก็จะมี Form Factor แบบ U.2 มีความจุตั้งแต่ 960GB - 15.63TB และ HHHL Card ความจุตั้งแต่ 1.92TB จนถึง 30.72TB .. แต่ละรุ่นก็จะมีความทนทานระดับ DWPD (Drive Writes Per Day) ประมาณว่า เขียนจนเต็มลูกได้ทุกวัน เป็นเวลานานถึง 5 ปี .. ส่วนรุ่น PM1375 ก็จะอลังขึ้นมาอีก สามารถทำ DWPD ได้ 3 เท่า ก็คือเขียนเต็มความจุของตัวเองสามเท่าในเวลาหนึ่งวัน ทั้งหมด 5 ปี แต่รุ่น PM1375 นี้จะมีให้เลือกแค่ขนาดสูงสุด 12.8TB เท่านั้น .. ทางด้านความเร็วก็แน่นอนครับ ไม่ต้องสืบเลย รุ่น U.2 ทำได้ที่ 6.4GB/s ในส่วนของ Read และ 3.8GB/s ในส่วนของ Write .. และรุ่นการ์ด HHHL ทำได้ 8GB/s สำหรับ Read และ 3.8GB/s ในส่วนของ Write
ตอนนี้เทคโนโลยี FIP นี้ก็จะออกแบบมาสำหรับใช้งานในกลุ่ม Data Center เป็นหลักเสียมากกว่า ในอนาคตเราก็ไม่แน่ใจว่าจะมีการปรับนำมาใช้ในกลุ่ม SSD สำหรับผู้ใช้ทั่วไปหรือไม่ .. ถ้ามีก็ต้องมาวัดกันดูครับ ราคาจะเพิ่มขึ้นซักแค่ไหน
ที่มาของข้อมูล : Samsung