หลังจากเมื่อค่ำคืนวานทาง Samsung ได้ใช้เวทีของงาน MWC 2019 เปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S10 ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า นี่คือ จุดเริ่มต้นของสงครามสมาร์ทโฟนแห่งปี 2019 แน่นอนว่า เราไม่ได้พูดถึงสเปคของมันเป็นหลัก เพราะเชื่อว่า คุณหาอ่านที่ไหนก็ได้
ในช่วงเริ่มต้นของยุคสมาร์ทโฟน ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่น่าสนใจเท่าใดนัก ด้วยการที่ผู้คนยังยึดติดกับปุ่มตัวเลขโดยมีคู่แข่งคนสำคัญอย่าง BlackBerry และมันเองก็ยังไม่มีเสถียรภาพที่ดีมากพอ เนื่องจากมันอยู่ในฮาร์ดแวร์ที่หลากหลายจากผู้ผลิตมากมาย แต่ในปี 2013 สมาร์ทโฟนอย่าง iPhone ก็ได้เจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้ออย่าง Samsung Galaxy S4 ซึ่งเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีและแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นผู้นำในโลกของสมาร์ทโฟน โดยก่อนหน้านั้น iPhone 5 ได้อยู่ในตลาดแล้ว และเป็นอุปกรณ์ตัวสุดท้ายที่ผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันสามารถพูดได้เต็มปากว่า "นี่คือสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลก" ทว่าด้วยการเปิดตัว iPhone 5s ในช่วงเดือนกันยายน 2013 (หลังจาก Galaxy S4 ราว 4 เดือน) ทำให้แอปเปิ้ลก้าวสู่ยุคของการพัฒนาตามกระแสนิยม นับเป็นการยอมอ่อนข้อให้กับทิศทางความต้องการของตลาดที่เกิดจากการผลักดันโดยคู่แข่ง
6 ปีต่อมา Samsung กำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามเช่นเดียวกับที่แอปเปิ้ลเคยเจอ โดยคู่แข่งจากประเทศจีนอย่าง Huawei ด้วยสมาร์ทโฟน P20 Pro และ Mate 20 Pro ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในระดับเดียวกับ Galaxy S9 Plus และ Galaxy Note 9 แม้ว่าถ้าพิจารณาหลายๆ ด้านทั้งประสิทธิภาพ ฟีเจอร์การใช้งาน และอื่นๆ สมาร์ทโฟนจากฝั่งจีนยังไม่ได้เหนือกว่า แต่จากมุมมองด้านราคา ต้องยอมรับว่า Huawei เป็นผู้นำด้วยราคาน่าคบหามากกว่าคู่แข่ง ดังนั้นในภาพรวมมันจึงคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป (ไม่นับรวมเรื่องราคาตกเร็ว และขายมือสองไม่ได้ราคา)
ในหลายๆ ปีที่ผ่านมา หัวเว่ยถือว่าประสบความเร็จในตลาดสมาร์ทโฟนสวนทางกับแอปเปิ้ลที่กระท่อนกระแท่น โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนรุ่นรองที่วางราคาต่ำกว่ารุ่นสูงสุดของแต่ละฝั่ง ไล่มาตั้งแต่ iPhone 5c, SE และ XR ทั้งสามรุ่นนี้ทำตลาดได้อย่างน่าผิดหวัง เหตุผลหลักมาจากการที่มันถูกตั้งราคามาไม่ต่ำพอที่จะดึงดูดผู้ใช้ที่มีรายได้น้อยในทางตรงกันข้ามรุ่น Lite Editon ของหัวเว่ยอย่าง Huawei P9, P10 และ P20 นั้นได้รับการตอบรับที่ดีมาก และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในหลายประเทศ โดยเฉพาะแถบแอฟริกาใต้
ในความคิดของเรา มองว่า วันนี้เป็นครั้งแรกในรอบครึ่งทศวรรษที่ซัมซุงเข้าสู่สนามรบในสมรภูมิที่คู่แข่งวางเอาไว้ แน่นอนว่า การเปิดตัวสมาร์ทโฟน Galaxy S10 Plus, S10 และ S10e ถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนสำหรับการตอบโต้กลยุทธ์ตลาดของ iPhone XR และ Huawei P20 Lite
มองกันง่ายๆ ซัมซุงอาจจะตั้งใจวางกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองแบบประกบคู่กับสมาร์ทโฟนคู่แข่งแทนที่การออกแบบให้มันเปี่ยมไปด้วยนวัตกรรมที่ก้าวล้ำไปข้างหน้า.. เราเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่ลึกๆ แล้วเราก็เชื่ออีกอย่างว่า ซัมซุงยังมีอะไรซ่อนอยู่แน่นอนในแง่ของเทคโนโลยี
เป็นไปได้ว่า ช่วงเวลานี้ถือเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดตัว Galaxy S10 มากกว่าที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนแบบฝาพับที่มีชื่อเรียกมากมายอย่าง Galaxy X, Galaxy F, Galaxy Fold, Galaxy Flex ซึ่งได้มีการจัดแสดงด้านเทคโนโลยีไปแล้วในงานประชุมนักพัฒนาในเมืองซานฟรานซิสโกช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เรามองว่า ตลาดกำลังให้ความสำคัญกับสมาร์ทโฟนที่ทรงประสิทธิภาพ มีฟีเจอร์ถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยม หรือขีดสุดของการใช้งานเท่าที่เป็นไปได้ในเวลานี้ ยังไม่ใช่เวลาจะนำเสนอสมาร์ทโฟนแบบฝาพับ เพราะมันคือ Innovation Product ทว่า เมื่อถึงเวลาที่สมาร์ทโฟนพับได้ ซัมซุงเองก็จะกลับมายืนในจุดที่เรียกว่า ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอีกครั้ง
กลับมาที่ Galaxy S10 เรามองเห็นข้อแตกต่างหลายจุดจากรุ่นก่อนไม่น้อยเลย อย่างเช่น หน้าจอแสดงผลแบบเจาะรู ซึ่งเทรนด์ของตลาดเดินไปทางสมาร์ทโฟนแบบ Notch Design จะเรียกว่าจอแหว่ง หรือจอบากก็แล้วแต่ ช่องว่างที่ถูกเจาะนั้นติดตั้งกล้องหน้าเอาไว้ มันเป็นองค์ประกอบสำคัญของจอแสดงผลที่ซัมซุงเรียกมันว่า “Infinity O” นอกจากนั้นยังเป็นจอภาพแบบไร้ขอบอย่างแท้จริง ทั้งด้านข้างและด้านบน
นอกจากนั้นแล้ว Galaxy S10 จะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 855 (วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ลาตินอเมริกา จีน, 5G Capable) ในประเทศไทยนั้นไม่ได้ใช้ชิป SoC ตัวดังกล่าวแต่เป็น Exynos 9820 และยังไม่รองรับเทคโนโลยี 5G ยังเป็นแค่ 4G LTE (Cat 20 LTE Modem, 2000Mbps Download) ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่รองรับเครือข่ายไร้สาย Wi-Fi 6 ด้วยชิป BCM4375 ของ Broadcom ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลในพื้นที่แออัดและโอนถ่ายข้อมูลได้เร็วขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ แต่คุณจะสัมผัสมันอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อคุณซื้อเราเตอร์ไร้สายมาตรฐาน 802.11ax ไปใช้งานนั่นแหละ ราคาในตอนนี้หนักหนาสาหัสมาก..เรือนหมื่นทั้งสิ้น
อีกเรื่องหนึ่ง Galaxy S10 ใช้ระบบตรวจจับลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic Fingerprint เครื่องแรกของโลก ซึ่งทำงานได้เร็วกว่าทุกเทคโนโลยีตรวจจับที่มีอยู่บนสมาร์ทโฟน ณ เวลานี้ เท่าที่ทราบมาเบื้องต้น สามารถสแกนได้บนหน้าจอเฉพาะส่วนล่างลงมา และมีข่าวว่า มีปัญหาในการทำงานเมื่อติดฟิล์มกันรอย จะจริงแค่ไหน อีกไม่นานเราจะได้รู้กัน
คุณสมบัติทั้งหมดนี้เพียงพอหรือยังสำหรับการทำสงครามสมาร์ทโฟนในปีนี้ ถ้ายังไม่พอ มีอีกอย่างหนึ่ง คือ Galaxy S10 เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมกับสตอเรจความจุ 1TB อย่างน้อยเฉพาะเรื่องนี้ สมาร์ทโฟนของซัมซุงก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดไปสักระยะแน่นอน เราไม่แปลกใจกับเรื่องความจุระดับ 1TB เพราะช่วงเดือนที่ผ่านมา พวกเขาเพิ่งประกาศว่าจะเป็นผู้ผลิตรายแรกที่ผลิตหน่วยความจำแฟลชขนาด 1TB และมันก็ได้ถูกปรับมาใช้ในภารกิจนี้ สำหรับเราแล้ว นี่คือ ความได้เปรียบที่สำคัญ เพราะมันจะเป็นอีกหนึ่งอาวุธที่ช่วยสนับสนุนให้ซัมซุงครอบครองตลาดสมาร์ทโฟนต่อไปได้อย่างมั่นคง