ก็เป็นกระแสข่าวมาซักพัก ที่ว่าสหภาพยุโรปหรือ EU นั้นได้มีการออกกฏหมายว่าให้ USB-C เป็น Interface มาตรฐานสำหรับการชาร์จอุปกรณ์ต่างๆภายในประเทศสมาชิก .. ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีมากครับ เพราะปัจจุบันนี้สิ่งที่น่ารำคาญมากที่สุดสำหรับคนที่มี Gadget เยอะก็คือเรื่องสายชาร์จนี่แหละ
สมัยก่อนที่มีมาตรฐานการชาร์จผ่าน USB เราน่าจะพอจำกันได้ว่ามีอุปกรณ์หรือ Gadget เยอะแค่ไหน เราก็ต้องมีสายชาร์จเยอะมากขึ้นเท่านั้น เพราะแต่ละตัว แต่ละยี่ห้อ หรือแต่ละอุปกรณ์ ต่างก็ใช้ที่ชาร์จคนละแบบกันทั้งนั้น ทำให้ต้องมีสายชาร์จเฉพาะสำหรับอุปกรณ์แต่ละตัวกันไปเลย .. แต่หลังๆนี้ก็พัฒนาขึ้นมาเยอะแล้ว ตั้งแต่ Adapter มีการจ่ายไฟออกมาผ่านช่อง USB เราก็ได้เห็นหลายๆอุปกรณ์นั้นใช้ที่ชาร์จร่วมกันได้มากขี้นในฝั่ง Adapter แม้ว่าฝั่งของตัวอุปกรณ์เองอาจจะยังมีการใช้หัวชาร์จที่แตกต่างกันอยู่บ้างก็เถอะ .. ตกตัวอย่างเช่น Smartphone ที่ปัจจุบันนี้ แบรนด์ส่วนใหญ่หันไปใช้หัวชาร์จแบบ USB-C กันแทบจะทุกแบรนด์ เหลืออยู่แค่ไม่กี่แบรนด์ ที่ยังใช้หัวชาร์จเป็นรูปแบบของตัวเองอยู่ (รู้นะหมายถึงใคร)
ล่าสุดนี้สหรัฐก็เหมือนจะเอาด้วยแล้วครับ เพราะ สว. ได้มีการพิจารณาข้อกำหนดดังกล่าวเพิ่มเติมเข้ามา .. แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจไปว่าเร็วๆนี้ เพราะขั้นตอนเหมือนจะยังไม่ได้เดินหน้าไปไกลซักเท่าไหร่ เพราะว่ามีแค่สว. จากฝั่ง Democrat ได้ทำการร่างจดหมายขึ้นมาเท่านั้น กว่าจะเอาไปใช้จริงจนออกมาเป็นข้อบังคับนี่บอกได้เลยว่า อีกนานแน่นอน
สาเหตุในข้อความก็เหมือนกับของฝั่ง EU นั่นแหละครับ ก็คือลดการผลิตขยะ Electronic และเพื่อให้ง่ายดายกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยในจดหมายเองก็มีข้อมูลระบุว่า ผู้บริโภคโดยเฉลี่ยมีสายชาร์จ 3 แบบต่อหนึ่งคน และใน 40% ของคนเหล่านั้น เคยชาร์จมือถือไม่ได้ เพราะไม่มีสายชาร์จที่ใช้ด้วยกัน .. อันนี้ก็นึกภาพไม่ยากครับ คุณอาจจะเป็นคนใช้มือถือพอร์ต Lightning คนเดียวในหมู่เพื่อนที่ใช้ USB-C ทั้งหมด จึงหยิบยืมกันไม่ได้ อารมณ์ประมาณนั้น (หรืออาจจะกลับกันก็ได้)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายก็อาจจะมีการร้องเรียนจากผู้บริโภคบ้าง เพราะปัจจุบันนี้ แม้ว่า USB-C จะเป็น Interface ในการชาร์จส่วนใหญ่ แต่พอร์ตอื่นเช่น Lightning ก็มีคนใช้งานไม่น้อยเหมือนกัน .. แต่ถ้ามองกันแค่ในเรื่อง Protocol ในการโอนถ่ายพลังงานแล้ว ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ ตั้งแต่มีการสลับมาเป็นมาตรฐาน USB Power Delivery (USB-PD) ที่ไม่ว่าจะเป็น USB-C หรือ Lightning ก็ต่างชาร์จผ่าน Protocol นี้ทั้งนั้น รวมไปถึง Notebook สมัยใหม่ที่รองรับการใช้งานในรูปแบบเดียวกันด้วย .. แบบนี้หมายความว่าสิ่งที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียว ก็จะเป็นในเรื่องของหน้าตาของหัวชาร์จ และในอนาคตถ้า USB-PD มีความสามารถในการจ่ายพลังงานได้หลายร้อยวัตต์ เราอาจจะได้เห็น Notebook Gaming สามารถชาร์จผ่าน USB-C ด้วยที่ชาร์จที่ใช้ร่วมกับมือถือได้ด้วยนะ .. ถึงตอนนั้นแหละ จะนับได้ว่าเป็นยุคที่ Universal ตามชื่อของ USB "Universal" Serial Bus อย่างแท้จริง
ข้อมูล : TechPowerUp