Western Digital (Nasdaq: WDC) และ Ingrasys บริษัทในเครือของฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn Technology Group) ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนา Top-of-Rack (TOR) Switch รุ่นเรือธงที่มาพร้อมระบบจัดเก็บข้อมูลในตัว โดยอุปกรณ์ TOR EBOF (Ethernet Bunch of Flash) รุ่นใหม่นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายตัวใกล้ส่วนขอบของเครือข่าย (Network Edge) เพื่อลดความล่าช้าในการรับส่งข้อมูล ลดความจำเป็นในการใช้เครือข่ายจัดเก็บข้อมูลแยกต่างหาก พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการดึงข้อมูลจากระบบจัดเก็บข้อมูลส่วนกลาง ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ Ingrasys จะรับหน้าที่ผลิต TOR EBOF ความหนาแน่นสูง โดยใช้เทคโนโลยี RapidFlex™ NVMe-oF™ Bridge ของ Western Digital ขณะที่ Western Digital จะทำงานร่วมกับ Ingrasys ในด้านการออกแบบสถาปัตยกรรม และเป็นผู้นำในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยเน้นกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ (Cloud Solution Providers: CSPs) และผู้ผลิตระบบจัดเก็บข้อมูล (Original Equipment Manufacturer: OEMs)
ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของตลาด AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจะเร่งนำโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลแบบแยกส่วนผ่านระบบ Fabric มาใช้ เพื่อรองรับความต้องการของเวิร์กโฟลว์ด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญด้านการผลิตเซิร์ฟเวอร์ GPU ระดับโลกของ Ingrasys เข้ากับความเชี่ยวชาญของ Western Digital ในด้าน NVMe-oF และระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ Fabric-Attached ทั้งสองบริษัทกำลังผลักดันโครงสร้างพื้นฐานแบบแยกส่วนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความสามารถในการขยายตัว และสมรรถนะของ ศูนย์ข้อมูล หรือ ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ในการรองรับความท้าทายของ AI ขนาดใหญ่
TOR EBOF ของ Ingrasys ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปี 2570 ถือเป็นการบูรณาการล้ำสมัยของเทคโนโลยีเครือข่ายและการจัดเก็บข้อมูล โดย Switch รุ่นใหม่นี้มีความสามารถจัดเก็บข้อมูลในตัวผ่านอุปกรณ์ RapidFlex Fabric รุ่นใหม่ของ Western Digital ซึ่งรองรับ Ethernet ความเร็ว 100G และ NVMe™/PCIe® Gen6 สำหรับ SSD รูปแบบ E3.S/L พร้อมชิปประมวลผล ASIC รุ่น NVIDIA Spectrum™-4 เพื่อรองรับการสวิตช์ข้อมูลความเร็วสูง รวมถึงรองรับสายสัญญาณ 400/800 GbE สำหรับความต้องการของดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอนาคต
อุปกรณ์ RapidFlex NVMe-oF fabric bridge ของ Western Digital นับเป็นนวัตกรรมล้ำหน้าด้านการจัดเก็บข้อมูลแบบ Fabric-Attached ด้วยพลังงานต่ำ สมรรถนะสูง และยืดหยุ่น เหมาะกับดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ โดยเป็นอุปกรณ์ NVMe-oF เพียงหนึ่งเดียวที่ขับเคลื่อนด้วยฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ไม่พึ่งพาเฟิร์มแวร์ในเส้นทางการประมวลผล ทำให้การอ่าน-เขียนข้อมูลไหลผ่านอะแดปเตอร์ด้วยค่าหน่วงต่ำสุด พร้อมการเชื่อมต่อ Ethernet โดยตรง โซลูชันนี้ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อ SSD แบบ NVMe เข้ากับโครงสร้างแยกส่วนได้อย่างไร้รอยต่อ เพิ่มประสิทธิภาพการขยายระบบจัดเก็บข้อมูลอย่างอิสระจากระบบประมวลผล
“เราร่วมมือกับ Ingrasys เพื่อเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างพื้นฐานแบบแยกส่วน (Disaggregated Infrastructure) ผ่านการพัฒนาโซลูชัน Fabric-Attached รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเวิร์กโหลด AI และความต้องการข้อมูลของสมัยใหม่ ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการรวมตัวกันของสองผู้นำด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจัดเก็บข้อมูลยุคใหม่ เพื่อส่งมอบสถาปัตยกรรมที่มีความยืดหยุ่นและพร้อมความสามารถในการขยาย พร้อมยกระดับประสิทธิภาพและสมรรถนะการทำงานให้กับลูกค้าของเรา” คุณเคิร์ต ชาน (Kurt Chan) รองประธานและผู้จัดการทั่วไป แพลตฟอร์มธุรกิจของ Western Digital กล่าว
“ความร่วมมือของเรากับ Western Digital สะท้อนถึงพันธสัญญาร่วมกันในการสร้างสรรค์นวัตกรรมระยะยาวและการออกแบบที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญของเราด้านการบูรณาการระบบที่สามารถขยายได้ กับความเป็นผู้นำของ Western Digital ด้านเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูล เรากำลังวางรากฐานสำหรับโซลูชันแบบ Fabric-Attached ที่พร้อมรองรับอนาคต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของระบบ AI และโครงสร้างพื้นฐานแบบแยกส่วน ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางร่วมกันสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่อย่างยั่งยืน” คุณเบนจามิน ถิง (Benjamin Ting) ประธานบริษัท Ingrasys กล่าวเพิ่มเติม
ในขณะที่ คุณกิลาด ไชเนอร์ (Gilad Shainer) รองประธานอาวุโสฝ่ายเครือข่ายของ บริษัท NVIDIA กล่าวเสริมว่า “ความร่วมมือระหว่างWestern DigitalและIngrasys จะนำพาศักยภาพของการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว (Accelerated Computing) มาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยโซลูชัน fabric-attached ที่ให้ค่าหน่วงต่ำ รองรับการขยายตัว และประสิทธิภาพสูง เหมาะกับดาต้าเซ็นเตอร์ยุคหน้า”