และแล้วเวลาที่สาวก Apple รอคอยก็มาถึง .. เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า iPhone นั้นเป็น Smartphone ที่มีคนสนใจมากที่สุดรุ่นนึง ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ดียังไง เราก็หนีไม้พ้นการเปรียบเทียบที่ไม่ว่าใครเปิดตัว Smartphone เรือธงมา ก็ต้องมี iPhone เป็นมาตรฐานให้เทียบแทบทุกครั้งไป
ล่าสุดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone 11 Pro โดยรุ่นนี้จะมาแทนที่ XS และ XS Max ของปี 2018 รายละเอียดหลักๆก็จะเป็นการอัพเกรดสเป็คให้เข้ากับยุคสมัยและเพิ่มเติมกล้องเข้ามาอีกหนึ่งตัวบริเวณด้านหลัง
iPhone 11 Pro ก็จะมี 2 รุ่นก็คือ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max สำหรับรุ่น Pro ธรรมดาก็จะมาแทนที่ XS ด้วยหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436x1125 และ Pro Max ก็มาแทน XS Max ด้วยหน้าจอขนาด 6.5" ความละเอียด 2688x1242 ทั้งคู่จะมีค่า PPIที่ 458 กับ Contrast Ratio ที่ 2,000,000 : 1 .. โดย Apple จะเรียกจอรุ่นนี้ว่า Super Ratina XDR
ทางด้านแบตเตอรี่ก็ไม่ได้มีการระบุความจุอะไรมาแต่อย่างใด เพียงแค่แจ้งว่ารุ่น Pro จะใช้งานได้ยาวนานกว่า XS อีก 4 ชั่วโมง ส่วน Pro Max ก็จะใช้ได้นานกว่า XS Max อีก 5 ชั่วโมง .. ซึ่งก็ไม่รู้ว่านับ Stand-by time หรือ Screen-on time เช่นเดียวกัน
สเป็คภายในก็แน่นอนว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนเช่นเดียวกัน ครั้งนี้จะมากับ CPU A13 Bionic แบบ 64-bit ใช้ขบวนการผลิตแบบ 7nm ประสิทธิภาพก็แน่นอนว่าท๊อปตลาด Smartphone อย่างไม่ต้องสงสัย โดยจะแรงขึ้นกว่าตัว A12 ของปีที่แล้วราวๆ 50% ด้วยกัน
ส่วนสิ่งที่เติมเข้ามาจริงๆเลยก็คงจะเป็นกล้องหลังที่คราวนี้มีมาสามตัว .. จากก่อนหน้านี้มีเลนส์คู่แบบ Wide angle และ Telephoto ตอนนี้จะมี Ultra-Wide เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว ทำให้ได้มุมมองการถ่ายภาพที่กว้างขึ้น เหมาะกับการถ่ายรูปหมู่เป็นอย่างดี .. ทั้งสามเลนส์นั้นก็จะมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รวมไปถึงขนาดพิกเซลที่ใหญ่ ประสิทธิภาพในการถ่ายในพื้นที่แสงน้อย ทำได้ดีขึ้น รวมไปถึง HDR Mode และการอัดวีดีโอแบบ 4K ด้วย
ดีไซน์ของกล้องเองก็เป็นไปตามที่มีข่าวหลุดมาก่อนหน้า ซึ่งบางคนอาจจะมองว่ามันดูประหลาดไปซักนิด (อาจจะไม่ชินตาหรือเปล่า) แต่ข้อดีเลยก็คือบริเวณที่นูนของเลนส์แบบเดิมนั้น จะไม่มีแยกอีกต่อไป เพราะว่ามันจะถูกครอบโดยกรอบสี่เหลี่ยมไปเลย (ยังไงผู้ใช้ก็ต้องเปลี่ยนเคสใหม่)
ด้านหน้าที่มีกล้อง True-Depth สำหรับการทำ Face-ID นั้นก็ถูกอัพเกรดไปเป็น 12-ล้าน พิเซลเช่นกัน ทำให้ได้คุณภาพของภาพถ่าย Selfie ที่ดียิ่งขึ้น รวมไปถึง Portrait Lightning Effect และการวัดระยะ Bokeh ด้วย
สิ่งที่น่าเสียดายเลยก็คือครั้งนี้ Apple จะยังคงใช้พอร์ต Lightning เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ USB-C เหมือน MacBook, iPad Pro และอุปกรณ์อื่นๆตามยุคสมัยแต่อย่างใด .. ตรงนี้อาจจะทำให้คนที่ใช้ iPhone รุ่นเก่าอยู่ใจชื้นขึ้นก็ได้ เพราะยังไม่ถูกลอยแพแต่อย่างใด .. ส่วนแอดมินเองที่หวังว่าจะได้เห็น iPhone ใช้หัว Type-C จะได้เป็นมาตรฐานกลางของ Smartphone ทั้งหมด ก็ผิดหวังไปเช่นเดิม
ที่มาของข้อมูล : AppleInsider