ในวงการ IT แล้ว ถ้าพูดกันเรื่องสินค้าราคาแพง .. แน่นอนว่าทุกคนคนนึกถึงการ์ดจอเป็นอันดับแรก เพราะราคาของมันพุ่งทะลุราคาเดิมกันบางทีเป็นเท่าตัวเลยด้วยซ้ำ แต่จะว่าด้วยความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่แค่การ์ดจอครับ ที่เจอปัญหาราคาแพง เพราะว่าสินค้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ตอนนี้ก็มีการปรับราคาขึ้นทั้งสิ้น
สาเหตุหลักๆของการขึ้นราคานี้ก็หนีไม่พ้นเรื่อง "ชิปขาดตลาด" เพราะว่าสินค้าทุกอย่างที่เป็นสินค้าเทคโนโลยี ก็ล้วนแต่จำเป็นจะต้องมีชิปทั้งสิ้น และผู้ผลิตชิปบนโลกนี้ก็มีอยู่ไม่กี่เจ้าครับ หลักๆก็จะเป็น TSMC, Samsung Foundry, GlobalFoundries, SMIC, UMC และเจ้าอื่นๆ แต่สำหรับชิปประมวลผลแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะมาจาก TSMC นี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นพวก CPU, GPU, หรือ SoC ทั้งของเครื่อง Computer, Smartphone, Tablet, หรือแม้กระทั่ง Gaming Console เอง
บริษัท Foundry ที่ผลิตชิปทั้งหลายนั้น ล่าสุดก็ได้มีการขึ้นราคาสินค้าที่ส่งให้ Partner กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้แบรนด์ไอทีต่างๆต้องเจอปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้นกันไป .. ราคาสินค้าในตลาด บางส่วนก็มีการปรับขึ้น เพราะต้นทุนที่สูงขึ้น ส่วนเรตการขึ้นของราคาสินค้านั้นก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มโปรดักส์ด้วยครับ ถ้าเป็นกลุ่มที่ลูกค้า Sensitive หน่อย อย่างพวกสินค้าราคาประหยัด ก็อาจจะไม่ได้ขึ้นมาก แต่ถ้าเป็นของฟุ่มเฟือย ที่ลูกค้ามีกำลังจ่ายก็อาจจะขึ้นมากซักหน่อย อย่างเช่นการ์ดจอเนี่ย ก็จัดว่าเป็นของฟุ่มเฟือยได้เหมือนกัน เราจึงเห็นราคาขึ้นเยอะเป็นพิเศษ .. ส่วนพวกรุ่นประหยัดอย่างเช่นการ์ดจอ หรือ CPU รุ่นเล็กๆสำหรับตลาดงบน้อย ที่ไม่สามารถขึ้นราคาได้นั้น ก็ "หาย" ไปแทนครับ ถึงขั้นหาซื้อไม่ได้ หรือ ตัดรุ่นนั้นๆออกจาก Lineup สินค้าไปเลย
ที่ว่ามาข้างบนนี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอดีตย้อนไปไม่กี่เดือนครับ .. แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป เพราะว่าราคาสินค้าตั้งแต่รุ่นประหยัดไปจนรุ่น High-End จะปรับขึ้นทั้งหมด โดยต้นทุนของชิปนั้นจะสูงขึ้นได้มากถึง 30% เลยทีเดียว
เมื่อตัวเลขสูงขึ้นระดับ 30% แล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่แบรนด์ต่างๆจะคงราคาสินค้าไอทีไว้เท่าเดิม เพราะ Margin ของกำไรสินค้ากลุ่มนี้มันก็น้อยอยู่แล้ว และถ้าต้องมาเจอต้นทุนที่สูงขึ้น ก็คงจะแบกรับภาระไม่ไหว และขึ้นราคาจนผลกระทบมาถึงผู้บริโภคในที่สุด
นอกจากนั้นก็ยังมีปัจจัยร่วมอื่นๆด้วย เช่นกำลังการผลิตชิปที่บริษัท Foundries ต่างๆจะต้องแบกรับภาระ เพราะตอนนี้กำลังการผลิตของบริษัทหลายๆแห่งก็ทำงานกันเต็มที่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น SMIC ที่กำลังการผลิตตอนนี้ถูกใช้อยู่ที่ 100.4% และ UMC ที่ 100% นั่นหมายความว่าโรงงานเหล่านี้ มุ่งที่จะผลิตสินค้าเป็นหลัก และการบำรุงรักษานั้นเป็นความสำคัญที่รองลงมา ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากที่อาจจะเกิดความเสียหายและอาจจะต้องหยุดผลิตในอนาคต .. ซึ่งบอกได้เลยครับ ถ้าเกิดความเสียหายและโรงงานหลักๆต้องหยุดการผลิตไปบางส่วนเนี่ย ในอนาคตอาจจะมีปัญหาหนักกว่านี้ไปอีก
เพราะเช่นนั้นแล้ว ก็ทำใจกันไว้แต่เนิ่นๆเลยครับ ว่าราคาสินค้าเทคโนโลยีทุกกลุ่ม มีแนวโน้มที่จะขยับขึ้น 10% เป็นอย่างน้อย ไม่ว่าสินค้านั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
ข้อมูล : Tom's Hardware