การ์ทเนอร์เผยในปีหน้า (2569) แอปพลิเคชันระดับองค์กร (Enterprise Applications) 40% จะฝังเทคโนโลยี AI Agents ที่ออกแบบมาสำหรับงานเฉพาะ (หรือที่เรียกว่า Task-Specific AI Agents) เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีน้อยกว่า 5% สาเหตุหลักมาจากการที่หลายองค์กรเร่งการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน โดย Agentic AI ในแอปพลิเคชันระดับองค์กรจะมีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นกว่าในระดับการใช้งานของบุคคลทั่วไป และยังสร้างมาตรฐานใหม่ ๆของการทำงานเป็นทีม รวมถึงเวิร์กโฟลว์ผ่านการมีส่วนร่วมระหว่างมนุษย์และเอเจนต์ที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2578 (หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า) Agentic AI จะมีส่วนขับเคลื่อนรายได้ของซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันระดับองค์กรประมาณ 30% โดยมีมูลค่าสูงกว่า 450 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 2% ในปีนี้
Anushree Verma ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “AI Agents กำลังพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากผู้ช่วยพื้นฐานที่ฝังอยู่ในแอปพลิเคชันองค์กรวันนี้ ไปสู่ Task-Specific Agents หรือ AI Agents ที่ออกแบบมาสำหรับงานเฉพาะ และในอีกสี่ปี (2572) จะก่อตัวกลายเป็นระบบนิเวศของมัลติเอเจนต์ (Multiagent) โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะพลิกโฉมแอปพลิเคชันองค์กรจากเครื่องมือที่คอยสนับสนุนประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละบุคคล ไปเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้เกิดการทำงานร่วมกันแบบอัตโนมัติอย่างราบรื่นและสามารถจัดการเวิร์กโฟลว์ได้แบบไดนามิก"
ผู้บริหาร CIO มีเวลา 3-6 เดือนในการกำหนดกลยุทธ์ Agentic AI เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ หากองค์กรไม่สามารถปรับตัวนำ Agentic AI มาใช้ได้ทันจะต้องกลายเป็นผู้ตามในสนามการแข่งขัน ซึ่งการจัดลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต้องใช้แนวทางที่มุ่งเน้น 5 ระยะหลักนี้ เพื่อปฎิวัติองค์กรไปสู่ยุค Agentic AI
รูปที่ 1: อนาคตของ Agentic AI ในแอปพลิเคชันระดับองค์กร
ที่มา: การ์ทเนอร์ (สิงหาคม 2568)
ระยะที่ 1: ผู้ช่วย AI ในทุกแอปพลิเคชัน (AI Assistants for Every Application)
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปีนี้แอปพลิเคชันองค์กรเกือบทั้งหมดจะมีผู้ช่วยเอไอฝังอยู่ เปลี่ยนแอปที่ไม่มีประสิทธิภาพให้เป็นระบบอัจฉริยะและสามารถทำงานในนามผู้ใช้งานได้
ผู้ช่วย AI (หรือ AI Assistants) เป็นสิ่งที่นำไปสู่ Agentic AI พวกมันช่วยลดความซับซ้อนของงานและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ แต่ยังพึ่งพาการป้อนข้อมูลจากมนุษย์และไม่สามารถทำงานได้อิสระ โดยความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดคือการเรียกผู้ช่วย AI เหล่านี้ว่า "เอเจนต์" ซึ่งเกิดจากการทำ "Agentwashing" หรือ การรีแบรนด์ผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้วโดยที่ไม่มีความสามารถด้าน Agentic ที่แท้จริง และกำลังเป็นที่แพร่หลาย
"CIO และผู้นำเทคโนโลยีต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับพนักงาน โดยรวมผู้ช่วย AI เข้าไว้กับ APIs ที่แข็งแกร่ง ช่วยเปลี่ยนจากอินเทอร์เฟซที่เน้นแอปพลิเคชันแบบดั้งเดิมได้" Verma กล่าว
ระยะที่ 2: แอปพลิเคชันที่มีเอเจนต์ช่วยงานเฉพาะ (Task-Specific Agent Applications)
ภายในปีหน้า (2569) AI Assistants จะพัฒนาไปเป็น AI Agents ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะงาน ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาไปสู่ความสามารถด้าน Agentic ที่แท้จริง การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2569 แอปพลิเคชันระดับองค์กร 40% จะมีการฝัง Task-Specific Agents เพิ่มขึ้น จากในปีนี้ที่มีไม่ถึง 5%
"เมื่อ AI Agents เริ่มทำงานได้อย่างเป็นอิสระและจัดการงานที่ซับซ้อนได้ดีมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เข้ามาควบคุม ผู้บริหารต้องมุ่งให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยและการกำกับดูแลอย่างเข้มข้น" Verma กล่าว
ระยะที่ 3: AI Agents ร่วมกันทำงานภายในแอปพลิเคชัน (Collaborative AI Agents Within an Application)
การร่วมมือระหว่าง AI Agents จะเปลี่ยนแปลงนิยามการทำงานของแอปพลิเคชันระดับองค์กร เมื่อองค์กรก้าวข้ามการทำงานอัตโนมัติที่มีเป้าประสงค์อย่างเดียว ภายในปี 2570 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 1 ใน 3 ของการนำ Agentic AI ไปใช้จะรวมกับเอเจนต์ที่มีทักษะต่าง ๆ เพื่อจัดการงานที่ซับซ้อนภายในสภาพแวดล้อมของแอปพลิเคชันและข้อมูล
AI Agents ในปัจจุบันมักมุ่งเน้นหน้าที่เฉพาะงานเดี่ยว ๆ ซึ่งอาจจำกัดผลกระทบทางธุรกิจโดยรวม เอเจนต์ที่ร่วมมือกัน (Collaborative Agents) จะเสนอโซลูชันที่ปรับเปลี่ยนและขยายขนาดได้มากขึ้น โดยการเรียนรู้จากข้อมูลเรียลไทม์และการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะใหม่ ๆ ในระยะนี้ ผู้นำเทคโนโลยีจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานและการทำงานร่วมกัน และนำโปรโตคอลที่รองรับการสื่อสารระหว่างเอเจนต์ด้วยกัน (Agent-to-Agent Communication) มาใช้
ระยะที่ 4: ระบบนิเวศ AI Agent ข้ามแอปพลิเคชัน (AI Agent Ecosystems Across Applications)
ภายในปี 2571 ระบบนิเวศ AI Agent จะช่วยให้เครือข่ายของเอเจนต์เฉพาะทางสามารถร่วมมือกันแบบไดนามิกข้ามหลายแอปพลิเคชัน ช่วยให้ผู้ใช้บรรลุเป้าหมายโดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับแต่ละแอปพลิเคชันที่ทำงานแยกส่วนกัน
การเปลี่ยนแปลงนี้จะขับเคลื่อนความต้องการในโมเดลธุรกิจใหม่ มีความโปร่งใสมากขึ้น สามารถกำหนดราคาได้แบบไดนามิก และมีการกำกับดูแลเพิ่มขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานของ Agentic AI เป็นไปอย่างมีจริยธรรม
การ์ทเนอร์ประเมินว่าภายในปี 2571 หนึ่งในสามของประสบการณ์ผู้ใช้จะเปลี่ยนจากแอปพลิเคชันดั้งเดิมไปสู่ฟรอนต์เอนด์เอเจนติก ซึ่งต้องใช้โมเดลธุรกิจใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดออกจากห่วงโซ่คุณค่า
ระยะที่ 5: แอปพลิเคชันองค์กรที่ทำงานได้อย่างอิสระกลายเป็น "ความปกติใหม่" (The “New Normal” for Democratized Enterprise Apps)
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2572 อย่างน้อย 50% ของพนักงานที่มีทักษะหรือ Knowledge Worker จะพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ในการทำงานร่วม ควบคุม และสร้างสรรค์ AI Agent แบบออนดีมานด์ ในงานที่ซับซ้อน
"เมื่อ Agentic AI พัฒนาเติบโตเต็มที่ มาตรฐานของโปรโตคอลและเฟรมเวิร์กจะช่วยให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น ทำให้เอเจนต์สามารถเข้าใจสภาพแวดล้อม จัดการโปรเจกต์ต่าง ๆ คอยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจได้กว้างและหลากหลายมากขึ้น องค์กรที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ช่วงแรกจะสร้างมาตรฐานใน New Normal นี้ ขณะที่องค์กรอื่น ๆ จะตกเป็นผู้ตาม เมื่อมนุษย์เริ่มพึ่งพา AI Agent เทียบเท่าการใช้สมาร์ทโฟนของพวกเขา" Verma กล่าว
เกี่ยวกับการ์ทเนอร์
บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com