แม้จะมี Anti-Virus ที่ดีที่สุดในการป้องกันภัยคุกคามจากโลกไซเบอร์ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะปลอดภัย 100% เพราะอีกหนึ่งช่องโหว่คือสัญญาณ Wi-Fi ที่คุณใช้งานภายในบ้าน ต่อไปนี้คือวิธีสังเกตเมื่อ Wi-Fi ของคุณถูกบุกรุกใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต
1. ความเร็ว Wi-Fi ลดลง
วิธีที่ง่ายที่สุดคือการสังเกตว่าสัญญาณอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ของคุณมีความเร็วลดลงผิดปกติโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่ เช่น ดูวิดีโอ YouTube สะดุด หน้าเว็บโหลดนานกว่าที่เคย หรือเล่นเกมออนไลน์แลคกระจาย
สาเหตุอาจเป็นไปได้ทั้งสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการมีปัญหา หรือเป็นไปได้ว่ามีบุคคลอื่นแอบแฮกเข้ามาในเครือข่ายและแบ่งใช้สัญญาณเน็ตร่วมกับคุณ ให้ลองสังเกตว่าการตั้งค่าเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
- รหัสผ่าน Wi-Fi
- ช่องความถี่สัญญาณ Wi-Fi
- เมาส์เคอร์เซอร์ขยับเอง
2. อุปกรณ์ไม่รู้จัก โผล่ในเครือข่าย
นอกจากนี้ใน Device List ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi อาจจะปรากฏรายการอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักเข้ามาเชื่อมต่อใช้งาน ให้ลองล็อกอินเข้าหน้า Admin ของเราเตอร์เพื่อตรวจสอบ Log การเชื่อมต่อของอุปกรณ์ย้อนหลังดูว่ามีอะไรแปลกปลอมหรือไม่
3. Antivirus หยุดทำงาน
ปฏิบัติการแรกที่แฮกเกอร์มักจะทำหลังจากแฮกเข้ามาในเครือข่ายของคุณคือการหาวิธีการปิด Firewall และบรรดาโปรแกรมป้องกันไวรัสทั้งหลายที่ออกแบบมาเพื่อสกรีนมัลแวร์หรือพฤติกรรมบนเครือข่ายที่ไม่พึงประสงค์ ถ้าฟังก์ชั่น Firewall บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของถูกปิดการทำงาน (Disable) โดยไม่ใช่ฝีมือของคุณ นั่นแปลว่าเป็นฝีมือของแฮกเกอร์ที่แอบดอดเข้ามาปิดนั่นเอง
4. ข้อความแปลกๆ
หลังจากแฮกเกอร์เข้ามาในเครือข่ายของคุณได้แล้ว ปฏิบัติการถัดไปคือการก่อกวนอุปกรณ์ในเครือข่ายหรืออาจถึงขั้นทำลายให้เสียหาย เช่น คุณอาจได้รับข้อความแปลกๆ ที่มาพร้อมกับไฟล์ที่มีเชื้อไวรัส ซึ่งไฟล์ดังกล่าวโดยมากจะเป็นไฟล์ที่อยู่ในเครือข่ายของคุณก่อนหน้า ทำให้เหยื่อหลงกลคิดว่าปลอดภัย
แนะนำว่าถ้าได้รับข้อความแปลกๆ โดยแจ้งว่าให้ทำการเปิดไฟล์หรือโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งดู ให้สันนิษฐานหรือสงสัยไว้ก่อนว่าไม่ปลอดภัย และไม่ควรเปิดดูจนกว่าจะตรวจสอบที่มาของข้อความนั้นๆ เสียก่อนว่ามาจากอุปกรณ์ตัวไหนในเครือข่าย และเป็นคนรู้จักที่ส่งมาใช่หรือไม่
5. แอพฯ ต้องสงสัย
จุดสังเกตสุดท้ายที่สังเกตได้ค่อนข้างง่ายหลังจากที่แฮกเกอร์เล็ดรอดเข้ามาในเครือข่ายของคุณได้แล้วคือการปรากฏตัวของแอพพลิเคชั่นแปลกๆ ที่คุณไม่รู้จัก ซึ่งแน่นอนว่าแอพฯ เหล่านั้นถูกติดตั้งโดยฝีมือของแฮกเกอร์เพื่อหวังกระทำการบางอย่าง เช่น การดักขโมยข้อมูลส่วนตัวอย่างหมายเลขบัตรเครดิต บัญชีธนาคารออนไลน์ หรือใช้คอมพิวเตอร์ของคุณกระทำการที่ผิดกฏหมาย
ถ้าคุณนึกไม่ออกจำไม่ได้ว่าแอพฯ นั้นคุณเคยติดตั้งด้วยมือตัวเอง แนะนำว่าห้ามเปิดมันขึ้นมาใช้งานโดยเด็ดขาด ลองใช้ Google หาข้อมูลเพิ่มเติมเท่าที่จะทำได้และติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสดีๆ เพื่อทำการตรวจสอบการคุกคามของแอพฯ เหล่านั้น
ถูกแฮกแล้ว ต้องทำอย่างไร?
ถ้าแน่ใจแล้วว่าเครือข่าย Wi-Fi ของคุณถูกแฮกแน่ๆ ขั้นตอนปฏิบัติที่แนะนำหลังจากนี้คือการตัดการเชื่อมต่อของอุปกรณ์จากเครือข่ายทั้งหมดเพื่อหยุดไม่ให้แฮกเกอร์กระทำการใดๆ ต่อไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ต่อ จากนั้นให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย เช่น บริษัทผู้พัฒนา Anti-Virus เพื่อขอคำแนะนำในการยับยั้งแฮกเกอร์รวมไปถึงวิธีการป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมในอนาคต