Microsoft ได้ปล่อยอัปเดตวันอังคารประจำเดือนพฤศจิกายนของ Windows 11 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขบั๊กที่เกิดขึ้นก่อนหน้า และนำเสนอ ดีไซน์ใหม่ของไอคอนแบตเตอรี่และเมนู Start
อัปเดตนี้มีรหัส KB5067035 (Build 26200.7121) อยู่ในสาขา 25H2 เช่นเดิม จุดเด่นคือการเพิ่มฟีเจอร์ที่ผู้ใช้ร้องขอกันมานาน — แสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่แบบตัวเลข บนแถบงาน (Taskbar) ทำให้สามารถเห็นสถานะพลังงานที่เหลือได้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเพิ่มเติม นอกจากนี้ ไอคอนแบตเตอรี่ยังถูกออกแบบใหม่ให้มี ขนาดใหญ่ขึ้น และมี การเปลี่ยนสีอัจฉริยะ (intelligent color shifting) เพื่อแสดงสถานะการชาร์จและระดับพลังงานต่าง ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในส่วนของ เมนู Start ก็ได้รับการปรับโฉมครั้งใหญ่เช่นกัน เริ่มจากระบบ ปรับขนาดอัตโนมัติตามหน้าจอ (adaptive sizing) เพื่อให้การแสดงผลดูสมดุลมากขึ้นบนจอแต่ละขนาด นอกจากนี้ Microsoft ยังเพิ่ม เครื่องมือปรับแต่ง (customization tools) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมได้ว่าต้องการให้แสดงอะไรบ้างในพื้นที่ทำงาน เช่น การย้ายตำแหน่งมุมมอง “แอปทั้งหมด (All apps)” ไปยังจุดที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม และเพิ่มตัวเลือกในการ ปักหมุด (pin) แอปเพิ่มเติมในเมนู Start อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถ ปิดส่วน “Recommended” ได้แล้ว สำหรับใครที่มองว่าฟีเจอร์นี้เกะกะ ถือเป็นการปรับปรุงที่น่ายินดีทีเดียว
ทีมทดสอบได้ติดตั้งอัปเดตล่าสุดนี้แล้ว แต่ยัง ไม่พบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งคาดว่า Microsoft กำลัง ทยอยปล่อยอัปเดตแบบเป็นช่วง (gradual rollout) อยู่ ข้างล่างนี้คือคำอธิบายเพิ่มเติมจาก Microsoft เกี่ยวกับเมนู Start ใหม่ รวมถึงภาพเปรียบเทียบไอคอนแบตเตอรี่จากเว็บไซต์ Windows Latest
นอกจากนี้ อัปเดตวันอังคารนี้ยังได้ แก้ปัญหาบั๊ก Task Manager ซ้ำซ้อน ที่เกิดจากอัปเดตก่อนหน้า (KB5067036) ซึ่งก่อนหน้านี้ Task Manager จะไม่ปิดตัวลงจริงแม้ผู้ใช้กดปิด และจะเปิด instance ใหม่ทุกครั้งที่เปิดใช้งาน ทำให้กินหน่วยความจำ (RAM) เพิ่มขึ้นครั้งละประมาณ 20–95 MB ถ้าผู้ใช้เปิด-ปิด Task Manager 100 ครั้ง ก็อาจสูญเสีย RAM ไปถึง 2 GB โดยไม่รู้ตัว และแต่ละ instance ยังใช้พลังประมวลผล CPU ประมาณ 0.9% ซึ่งหมายความว่า 10 instances ที่เปิดค้างไว้สามารถดึงทรัพยากร CPU ไปได้เกือบ 10% เลยทีเดียว โชคดีที่บั๊กนี้ได้รับการ แก้ไขเรียบร้อยแล้ว ในอัปเดตล่าสุดนี้
ที่มา: TechPowerUp



