ปีนี้เราได้เห็นกระแสของ AI มาแรงมากๆ จริงอยู่ว่า AI นั้นเริ่มมีการพัฒนามาซักพักใหญ่ๆแล้ว แต่สำหรับปีนี้ หลายๆค่ายก็ได้เปิดตัว AI ของตัวเองออกมา และก็ทำให้หลายๆคนได้เห็นถึงความสามารถที่มันจะทำได้ โดยเฉพาะกับสาขา Generative AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมาก จนหลายๆคนกลัวว่ามันจะมาแทนที่เราเลยก็ว่าได้ครับ
คำถามแรกคือ Generative AI คืออะไร ? มันก็คือสาขานึงของเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ ที่เน้นในการสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ภาพ วีดีโอ หรือ เสียง ได้จากชุดคำสั่งและข้อมูลที่มีอยู่ หรือจะเป็นการเพิ่มคุณภาพให้กับสิ่งที่มีอยู่แล้ว เช่นการ Upscale ความละเอียดของรูปภาพและวีดีโอให้สูงมากขึ้น เปลี่ยนภาพกลางวันเป็นกลางคืน หรืออื่นๆอีกมาก .. โดยหลักๆแล้วกลุ่มนี้จะเข้ามามีความสำคัญในภาคธุรกิจ เพราะมันสามารถทำให้ขั้นตอนทำงานหลายๆอย่างกลายเป็นรูปแบบอัตโนมัติ ลดหน้าที่การทำงานของมนุษย์ ตำแหน่งหลายๆอย่างก็อาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป
ล่าสุดนี้เราได้เห็นรายงานจาก IBM ซึ่งเป็นบริษัทไอทีระดับโลกที่ทุกคนต้องรู้จักหรือผ่านหูกันมาบ้าง โดยที่ทาง IBM ได้ออกมาบอกว่า ภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ AI จะมีผลกระทบกับอาชีพต่างๆมาก โดยจำนวนแรงงานกว่า 40% จะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ถ้าไม่อยากจะโดน AI แทนที่การงานตัวเองโดยสมบูรณ์
องค์กร IBM Institute of Business Value (IBV) ได้ทำการศึกษาข้อมูลจาก Survey สองชิ้น โดยชิ้นแรกนั้นจะเป็นข้อมูลจากกลุ่ม C-Level Executives จำนวน 3000 คนจาก 28 ประเทศ ในขณะที่อีกอันเป็นข้อมูลจากแรงงาน 21000 คนจาก 21 ประเทศ .. ซึ่งข้อมูลจากความคิดของฝั่งที่ค่อนข้างเป็นตำแหน่งระดับสูงนั้น เชื่อว่าจำนวนคน 4 ใน 10 ของแรงงาน หรือราวๆ 1.4 พันล้านคน จะต้องมีการ Reskill เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เนื่องจากบริษัทจะมีการเริ่มเอา Generative AI และระบบ Automation เข้ามาใช้
ในขณะที่ทุกตำแหน่งจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คงจะเป็น Entry-Level หรือกลุ่มแรงงานระดับเริ่มต้น ที่ผู้ให้ข้อมูล 7 ใน 10 คนระบุว่า ตอนนี้กลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้รับผลกระทบจาก AI ไปแล้ว และจะมีผลกระทบมากขึ้นอีกในไม่กี่ปีหลังจากนี้
นอกจากนั้นรายงานก็ยังบอกอีกว่า จากงานวิจัยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่า AI นั้นจะมีผลกระทบกับตำแหน่งงาน 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลก แต่ทาง IBM ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า ผลกระทบในที่นี้ อาจจะไม่ใช่การถูกแทนที่ 100% แต่จะเป็นการปรับตัวในการทำงานมากกว่า .. ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะปลอดภัยที่สุดจากการมาถึงของ AI ก็จะเป็นกลุ่มงานที่เน้น การวางแผนและจัดซื้อ ตามมาด้วย งานประเภทบริหารความเสี่ยง และ งานด้านการเงิน ในขณะที่กลุ่มตำแหน่ง Customer Service (ดูแลลูกค้า) และ Marketing (การตลาด) ดูแล้วจะปลอดภัยน้อยลงมา
ส่วนใครก็ตามที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการมาถึงของ AI ได้ อันนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยครับ ข้อแรกเลยก็คือจะยังคงมีงานทำต่อไปแน่ๆ และเท่านั้นไม่พอ ถ้าเอา AI มาใช้ประโยชน์ จะทำให้ความสามารถในการทำงานนั้นดีขึ้น รวมไปถึงทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย
สรุปง่ายๆคือ IBM นั้นมีความเห็นว่า AI นั้นจะไม่ได้มาแทนที่คนโดยตรง แต่คนที่ทำงานกับ AI เป็น ที่จะมาแทนที่คนที่ทำงานกับ AI ไม่เป็น .. ในยุคที่ AI มาแรงและมีประโยชน์แบบนี้ คนที่อยู่รอดเลยก็คือ คนที่ทำงานกับ AI และเอา AI มาใช้ประโยชน์กับตัวเองได้มากที่สุด .. แต่สำหรับ IBM เอง ก็เป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วอาจจะย้อนแย้งเหมือนกัน เพราะข้อมูลจากบริษัทก็บอกอยู่ว่า AI ไม่มีผลกระทบโดยตรง แต่ตัวเองก็เป็นบริษัทแรกๆเลยที่ออกมายืนยันว่าจะเลิกจ้างงานหลายตำแหน่งที่ AI สามารถทำแทนได้
ส่วนตัวผมแล้ว ผมคิดว่า งานอะไรก็ตามที่เคยเป็นแรงงานคนทำ แล้วสามารถแทนที่ได้โดย AI อย่างสมบูรณ์ อันนี้ทางบริษัทก็คงจะมีการเปลี่ยนไปใช้ AI อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าการลงทุนกับระบบ AI สามารถตัดปัญหาไปได้หลายอย่าง ไม่ต้องให้สวัสดิการพนักงาน ไม่ต้องจ่ายเงินเดือน (แต่จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษา และลงทุนก้อนใหญ่ ซึ่งในระยะยาวอาจจะถูกกว่า) ไม่ต้องมาห่วงว่าพนักงานจะ ลาพักร้อน ใช้สิทธินู่นนี่ หรือจะเมาแฮงค์มาทำงานไม่ได้ อกหัก รักคุด ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง .. AI สามารถทำงานได้ อย่างมีเสถียรภาพ โดยไม่ต้องมีปัจจัยดังกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้องเลย .. และเราก็ได้เห็นหลายๆบริษัทมีการปลดพนักงานและเอา AI มาแทนที่แล้ว อย่างในอินเดีย บริษัทเกี่ยวกับ Customer Service ก็มีการปลดพนักงานกว่า 90% และแทนที่ด้วย Chatbot มาตอบคำถามแทน .. ซึ่งในตอนนี้แม้ว่า Chatbot อาจจะทำงานได้ไม่ดีเท่าคน 100% แต่จากการเรียนรู้เพิ่มเติมนั้น เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ คงจะสามารถตอบคำถามและอ่านคำสั่งจากลูกค้าได้ไม่แตกต่างกับพนักงานจริงๆเลย
ข้อมูล : TechSpot