เมื่อเร็ว ๆ นี้ STT GDC ได้จัดการประชุม Practical Insights ครั้งที่ 4 ขึ้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้กล่าวเปิดการประชุมนี้ที่ได้รวมเหล่าผู้นำอุตสาหกรรมต่าง ๆ มาพูดคุยถึงศักยภาพของ AI ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลากหลายมุม ตั้งแต่การสร้างบุคลากรที่มีความพร้อมสำหรับ AI การปฏิรูปบริการทางการเงิน การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ไปจนถึงการส่งเสริมความร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ
ตลาด AI ของไทยมีความพร้อมที่จะเติบโตและขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว แต่คำถามสำคัญ คือ เรามีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งพอที่จะนำประเทศเข้าสู่เวทีแข่งขันนี้หรือไม่?
ผู้นำอนาคตด้านดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำ AI ในภูมิภาคนั้นทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างมาก สิงคโปร์1 ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจ AI ของอาเซียนอย่างไร้ข้อกังขา มีการอัดฉีดงบประมาณจากภาครัฐกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และดึงดูดการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอีกกว่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมเปลี่ยนประเทศให้เป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลก มาเลเซีย2 ตั้งเป้าเป็นหนึ่งใน 20 ประเทศผู้นำเศรษฐกิจ AI ของโลกภายในปี 2573 ด้วยการนำเสนอแผนงาน AI แห่งชาติ 2564-2568 ส่วนเวียดนาม3 ไม่น้อยหน้า มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลระดับโลก โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการมหาศาลในด้านอีคอมเมิร์ซ, เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) และโซลูชัน AI ซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนผ่านโครงการที่เป็นยุทธ์ศาสตร์ของรัฐบาล เช่น โครงการการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลแห่งชาติภายในปี 2568
ประเทศที่สร้างระบบนิเวศโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ล้ำสมัย เข้าถึงได้ง่าย และยั่งยืนที่สุดจะเป็นผู้กุมความเป็นผู้นำในภูมิภาค การแข่งขันยุค AI ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการวางยุทธศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจและการคิดนอกกรอบ
ตอนนี้เราอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทศวรรษหน้า ข้อมูลจาก Statista Market Insights4 คาดว่าในปีนี้ (2568) มูลค่าการเติบโตตลาดปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทยจะสูงถึง 1.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 26.24% ไปจนถึงปี 2574 ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ 'พลังการประมวลผล' ในโครงสร้างพื้นฐาน ไปสู่การเป็น 'พลังสำคัญที่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเชิงกลยุทธ์'
ในฐานะผู้บริหารของ STT GDC Thailand ดิฉันเห็นการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นรวดเร็วในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ คำถามถึงผู้บริหารในวันนี้ไม่ใช่เรื่องของ AI ว่าจะเปลี่ยนภูมิทัศน์การแข่งขันของเราหรือไม่ แต่เป็นคำถามว่าเราได้สร้างรากฐานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เราเป็น "ผู้นำ" ในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุค AI แล้วหรือยัง หรือจะทำได้เพียงแค่ "ปรับตัวตาม" เท่านั้น
ในมุมเศรษฐกิจ:โครงสร้างพื้นฐานเป็นข้อได้เปรียบการแข่งขัน
ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะเมื่อมองไปถึงสถานการณ์ด้านประชากรในประเทศไทย ด้วยประชากรที่เข้าสู่วัยสูงอายุและการเติบโตของกำลังแรงงานที่ถดถอย การแข่งขันด้านต้นทุนแรงงานเพียงอย่างเดียวจึงทำไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องหันมาให้ความสำคัญกับข้อได้เปรียบด้านผลิตผลที่ได้รับจาก AI ซึ่งสิ่งนี้ต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลกเป็นรากฐาน
คณะกรรมการ AI แห่งชาติ (National AI Committee) 5 ตระหนักถึงความจำเป็นนี้ โดยตั้งเป้าหมายภายในสองปีข้างหน้าจะฝึกอบรมบุคลากรให้เป็นผู้ใช้งานอย่างน้อย 10 ล้านคน ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จำนวน 90,000 คน และนักพัฒนา AI จำนวน 50,000 คน โดยมีเป้าหมายเพื่อวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้าน AI ของภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับแอปพลิเคชัน AI ในระดับการผลิต ไม่ใช่แค่โปรเจกต์นำร่อง
สร้างแอปพลิเคชันในอนาคตได้ตั้งแต่วันนี้
รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของ AI ผ่านโครงการริเริ่มต่าง ๆ เช่น การวางยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ และความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อพัฒนาบุคลากรในประเทศ อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้นำด้าน AI ได้
ดังนั้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาคเอกชนต้องมองให้ไกลและสนับสนุนโปรเจกต์ดิจิทัลทรานฟอร์มเมชันที่มีของภาครัฐ จากประสบการณ์ของเราชี้ให้เห็นว่าการนำ AI มาใช้ให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับการบูรณาการที่ราบรื่นระหว่างโครงสร้างพื้นฐานของภาคเอกชนและความพยายามเปลี่ยนไปใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของภาครัฐ
ระยะเวลาการทำงานเป็นอีกประเด็นสำคัญ คาดว่าระบบ Autonomous Agents ที่จัดการกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมด รวมถึงระบบ AI ที่เสริมประสิทธิภาพด้วยการประมวลผลควอนตัม และการนำ AI ไปใช้กับหุ่นยนต์นั้นจะเกิดขึ้นภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ประเทศที่เตรียมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับแอปพลิเคชันเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า
ประเทศไทยมีตำแหน่งภูมิศาสตร์ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งมากสามารถเป็น Southeast Asia's AI platform ได้ แต่เราจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ดึงดูดองค์กรระดับภูมิภาคและระดับโลกให้มาตั้งศูนย์ปฎิบัติการด้าน AI ของเอเชียในประเทศไทย
แต่ละแอปพลิเคชันที่กล่าวมาล้วนมีความต้องการด้านการประมวลผลที่ซับซ้อนและยากเกินกว่าจะจินตนาการเมื่อห้าปีก่อน แต่วันนี้โครงสร้างพื้นฐานที่เราพัฒนาขึ้นมาจะเป็นตัวกำหนดว่าประเทศไทยจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้หรือไม่ หรือเราจะเป็นเพียงผู้นำเข้าความสามารถด้าน AI ที่พัฒนาขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานของต่างชาติ
STT GDC ประเทศไทย พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างรากฐานเพื่อเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้กับประเทศไทย แนวทางของเราคือการผสานรวมความสามารถระดับไฮเปอร์สเกลเข้ากับหลักการด้านความยั่งยืน เพื่อให้บริการแก่องค์กรต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับสตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทข้ามชาติที่สนใจมาจัดตั้งศูนย์กลาง AI ระดับภูมิภาค
STT GDC มีดาต้าเซ็นเตอร์มากกว่า 100 แห่งใน 12 ประเทศ เราเห็นว่าความพร้อมในโครงสร้างพื้นฐานมีความสัมพันธ์โดยตรงกับโอกาสทางเศรษฐกิจ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับ AI ของสิงคโปร์ยุคแรกเริ่มดึงดูดสตาร์ทอัพ AI ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่เวียดนามให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ช่วยให้ประเทศสามารถสร้างความได้เปรียบในอุตสาหกรรมการผลิตแบบดั้งเดิมผ่านประสิทธิภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI ดังนั้นประเทศไทยต้องเป็นผู้ส่งออก AI ไม่ใช่แค่ผู้นำเข้า ก่อนที่โอกาสทองนี้จะหลุดมือไป
Footnote:
Source: 1 Singapore's $27B AI Revolution Powers Southeast Asia 2025 — Introl
Source: 2 Malaysia targets top 20 AI economy status by 2030 with new national roadmap | Malay Mail
Source: 4 Statista Market Insights, "Artificial Intelligence - Thailand," 2024
Source: 5 Prime Minister Chairs First National AI Committee Meeting, Aiming for Thailand to Become a Regional
เกี่ยวกับผู้เขียน
คุณบุศรินทร์ ประดิษฐยนต์ ดำรงตำแหน่งเป็น Country Head ของบริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ STT GDC Thailand มีหน้าที่รับผิดชอบภาพรวมธุรกิจ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ STT GDC ในตลาด ร่วมมือกับลูกค้ารายสำคัญ พร้อมส่งมอบคุณค่าและการเติบโตให้กับธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัทฯ ในประเทศไทย คุณบุศรินทร์มีประสบการณ์การทำงานที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มานานกว่า 20 ปี พร้อมมีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารธุรกิจเชิงพาณิชย์ การลงทุน การดำเนินงาน และการวางแผนเชิงยุทธ์ศาสตร์ในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์
ก่อนเข้าร่วมงานกับ STT GDC Thailand เคยทำงานให้กับ TCC Technology เป็นเวลาถึง 20 ปี โดยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์, ธุรกิจ SAP Managed Hosting สำหรับ TCC Group, ธุรกิจเครือข่ายการเชื่อมต่อ (จัดตั้งอินเทอร์เน็ตเกตเวย์และเครือข่ายระดับเมืองเชื่อมต่อโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ของ TCC Group) และยังเป็นคณะกรรมการที่จัดตั้งระบบจัดซื้อจัดจ้างสำหรับ TCC Group และมีตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้อำนวยการทั่วไปของ TCC Technology
คุณบุษรินทร์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิทยาศาสตร์ สาขาการจัดการระบบสารสนเทศ จากมหาวิทยาลัยบัลติมอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และระดับปริญญาตรีบริหารธุรกิจ เอกการเงิน จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์