Microsoft ได้เปิดตัวระบบเข้ารหัส BitLocker แบบเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ รุ่นใหม่สำหรับ Windows 11 ซึ่งย้ายภาระการประมวลผลด้านการเข้ารหัสจากซอฟต์แวร์ ไปยังหน่วยเร่งความเร็วเฉพาะทางที่ฝังอยู่ในสถาปัตยกรรมไมโครของซีพียูรุ่นใหม่ในอนาคต
ที่ผ่านมา BitLocker บน Windows 11 ที่ทำงานด้วยซอฟต์แวร์ล้วน มักสร้างผลกระทบต่อประสิทธิภาพอย่างหนัก ตัวอย่างเช่น เมื่อเปิด BitLocker แบบซอฟต์แวร์บน Windows 11 ค่าเฉลี่ยจำนวนรอบสัญญาณนาฬิกาต่อ I/O จะพุ่งจากประมาณ 400,000 รอบ ไปเป็นราว 1.9 ล้านรอบ หรือเพิ่มขึ้นถึง 375% ต่อหนึ่ง I/O ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพด้านสตอเรจลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในที่สุด Microsoft ก็แก้ปัญหานี้ด้วยการนำการเข้ารหัสด้วยฮาร์ดแวร์มาใช้งานจริง
ระบบเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ใหม่นี้ ถูกประกาศครั้งแรกในงาน Ignite 2025 เมื่อเดือนพฤศจิกายน และเริ่มใช้งานแล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 รวมถึง Windows Server 2025 หลังอัปเดตเดือนกันยายน การทดสอบเบื้องต้นพบว่า เวิร์กโหลดบางรูปแบบมีประสิทธิภาพด้านสตอเรจเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า พร้อมกับลดการใช้งานซีพียูลงได้มากกว่า 70%
เทคโนโลยีนี้จะถ่ายโอนการประมวลผลการเข้ารหัส AES-XTS-256 จากซีพียูหลัก ไปยังเอนจินเข้ารหัสแบบฟังก์ชันตายตัวที่ฝังอยู่ภายใน SoC โดยกุญแจเข้ารหัสจะถูก “ห่อหุ้มด้วยฮาร์ดแวร์” เพื่อเพิ่มความปลอดภัยจากการโจมตีที่อาศัยการอ่านหน่วยความจำ ระบบในระยะแรกจะรองรับแพลตฟอร์ม Intel vPro ที่ใช้ซีพียู Core Ultra Series 3 (Panther Lake) เป็นหลัก และ Microsoft มีแผนขยายการรองรับไปยังผู้ผลิตรายอื่นในอนาคต
ข้อมูลด้านประสิทธิภาพระบุว่า ความเร็วในการอ่านและเขียนแบบต่อเนื่อง (Sequential) แทบไม่ต่างกันระหว่างการเข้ารหัสด้วยซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ แต่เมื่อเป็นการทำงานแบบสุ่มขนาดเล็ก 4K Random จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ในการทดสอบ RND4K Q32T1 ทั้งอ่านและเขียน ระบบที่ใช้การเร่งด้วยฮาร์ดแวร์เร็วขึ้นถึง 2.3 เท่า สำหรับการอ่านแบบสุ่มคิวเดียว เร็วขึ้นราว 40% และสำหรับการเขียนแบบสุ่มคิวเดียว เร็วขึ้นประมาณ 2.1 เท่า
ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า BitLocker แบบเร่งด้วยฮาร์ดแวร์ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการเข้าถึงข้อมูลขนาดเล็กได้อย่างมาก ซึ่งเป็นรูปแบบการใช้งานหลักของระบบสมัยใหม่ที่ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน และเป็นเหตุผลว่าทำไม BitLocker แบบซอฟต์แวร์ในอดีตจึงสร้างอาการหน่วงได้รุนแรงที่สุด
ที่มา: TechPowerUp



