ถ้าคุณอยู่ในยุคที่ “GPU สมัยใหม่” ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น ชื่อของ Hercules Graphics Card (HGC) อาจทำให้คุณนึกถึงบางสิ่ง — การ์ดจอที่ครั้งหนึ่งเคยปฏิวัติวงการกราฟิกบนพีซีอย่างเงียบ ๆ ในช่วงต้นยุค 80s โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ มันคือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งนวัตกรรมด้านฮาร์ดแวร์การแสดงผล — จะเรียกได้ว่า “Hercules เดิน เพื่อให้ Nvidia และ ATI วิ่งได้” ก็คงไม่เกินจริง ถึงแม้จะดูโบราณในมาตรฐานปัจจุบัน แต่น่าสนใจไม่น้อยที่จะย้อนมองว่า เทคโนโลยีเก่าชิ้นนี้ส่งอิทธิพลแค่ไหนในยุคที่แนวคิด “GPU” ยังเป็นสิ่งที่ลึกลับอยู่มาก
วันนี้เราจะพาย้อนรอยผ่านวิดีโอของ The 8-Bit Guy บน YouTube ซึ่งอธิบายทั้งตำนานของ Hercules และโครงสร้างการทำงานจริงของฮาร์ดแวร์ตัวนี้อย่างละเอียด
ยุคก่อน GPU: เมื่อ IBM ครองโลกธุรกิจ
ก่อนที่ GPU จะสามารถประมวลผลกราฟิกได้อย่างแท้จริง คอมพิวเตอร์ IBM PC คือราชาแห่งองค์กรธุรกิจ จุดประสงค์หลักของมันคือการจัดการสเปรดชีต แผนภูมิ บัญชีพื้นฐาน และเอกสารข้อความ ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ต้องใช้ “กราฟิก” เลย มีเพียงตัวเลขกับตัวอักษรที่ต้องแสดงผล ซึ่งง่ายกว่ามาก — เหมือนเครื่องพิมพ์ที่ส่วนใหญ่พิมพ์แต่ข้อความ ไม่ใช่ภาพละเอียด
ในเวลานั้น IBM มีสองทางเลือกสำหรับจอแสดงผล:
-
Color Graphics Adapter (CGA) แสดงสีได้ แต่ความละเอียดสูงสุดเพียง 640×200 พิกเซล ทำให้ตัวอักษรหยาบ
-
Monochrome Display Adapter (MDA) คมชัดกว่าด้วยความละเอียด 720×350 พิกเซล แต่แสดงผลได้แค่ขาวดำ และไม่มีโหมดกราฟิกเลย
ดังนั้น MDA จึงราคาถูกและแพร่หลายกว่า แต่เมื่อ Hercules Graphics Card ปรากฏตัว มันกลายเป็นการรวมข้อดีของทั้งสองโลกเข้าไว้ด้วยกัน
จุดเปลี่ยน: การ์ดที่ “เขียนกราฟิกได้จริง”
Hercules ผสานความคมชัดแบบ MDA เข้ากับความสามารถด้านกราฟิกของ CGA ได้อย่างลงตัว — รองรับทั้งข้อความคมชัด ความเข้ากันได้กับ MDA เดิม และเพิ่มโหมดกราฟิกความละเอียดสูง 720×348 พิกเซล เข้ามา นอกจากนี้ยังมี หน่วยความจำเฟรมบัฟเฟอร์ 32KB ซึ่งถือเป็นต้นแบบของ VRAM ที่ให้โปรแกรมเขียนข้อมูลลงหน่วยความจำวิดีโอโดยตรงได้ — สิ่งที่อะแดปเตอร์ของ IBM ก่อนหน้านี้ยังทำไม่ได้
ก่อนหน้า Hercules ทั้ง MDA และ CGA ทำได้แค่ “สั่งให้จอแสดงอักขระ” โดยบอกตำแหน่งตัวอักษรเท่านั้น การสร้างภาพที่ซับซ้อนจึงแทบเป็นไปไม่ได้ การเพิ่มหน่วยความจำ 32KB ทำให้ Hercules สามารถ “วาด” กราฟิกได้จริง และลดภาระจาก CPU หลัก ส่งผลให้การประมวลผลเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การขยายตัวและการลอกเลียนแบบ
ความสำเร็จของ Hercules ทำให้หลายผู้ผลิตพยายามสร้างการ์ดลอกเลียนแบบ บางรุ่นรวมโหมด CGA และ Hercules ไว้ในบอร์ดเดียวพร้อมสวิตช์ DIP ปรับโหมดได้ แม้แต่ ATI ในยุคแรกก็มีการ์ดที่จำลองทั้งสองโหมดนี้ได้
ต่อมามีรุ่น Hercules Graphics Card Plus ซึ่งเป็นเวอร์ชันต่อยอด เพิ่มหน่วยความจำเป็นสองเท่า ขนาดเล็กลง และรองรับ “RAM Font” สำหรับการแสดงผลข้อความที่ยืดหยุ่นขึ้น
เมื่อ Hercules เข้าสู่วงการเกม
แม้จะถูกออกแบบมาสำหรับงานธุรกิจ แต่ Hercules ก็เริ่มมีบทบาทในวงการเกม หลายเกมถูกพอร์ตให้รองรับมาตรฐานใหม่นี้ บางเกมใช้วิธีจำลอง CGA ซึ่งทำให้ภาพดูไม่เนียนนัก แต่บางเกมได้รับการปรับแต่งโดยเฉพาะ เช่น Sim City และ Microsoft Flight Simulator 3
ข้อมูลจาก MobyGames ระบุว่า มีเกมกว่า 536 เกม ที่รองรับ Hercules และมากกว่า 1,900 เกม รองรับ CGA
ในวิดีโอ The 8-Bit Guy ยังโชว์เกมที่เขาเคยทำในอดีตซึ่งรองรับ Hercules แต่ใช้เทคนิค CGA ทำให้ภาพไม่สวยนัก เขาจึงกลับไปปรับปรุงใหม่ เช่น Planet X3 และ Attack of the Pesky Robots ให้รองรับ Hercules แบบเนทีฟ เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างภาพ “จำลอง” กับภาพ “แท้”
ปลายยุคทองของ Hercules
เมื่อเข้าสู่ยุค 16-bit ช่วงต้นปี 1990 และ Windows 3.1 ออกวางจำหน่าย การใช้งานบน CGA แทบเป็นไปไม่ได้ แต่บน Hercules กลับดูดีมาก (แม้จะขาวดำ) จนผู้บรรยายยังแซวว่า “เล่น Solitaire ไม่สนุก เพราะไม่มีสี”
ก่อนหน้านั้นในปี 1987 บริษัทได้ออก Hercules InColor Card ที่เพิ่มการแสดงผลสีเข้ามา แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีเพียงไม่กี่เกม (6 เกมเท่านั้น) ที่รองรับ และมาตรฐาน EGA ของ IBM ก็เหนือกว่าทุกด้าน
มรดกจากตำนาน
นี่คือการย้อนเวลากลับไปหาหนึ่งใน “ต้นกำเนิด” ของกราฟิกพีซี — หากไม่มีการ์ด Hercules ที่กล้าแตกต่างในวันนั้น วงการคอมพิวเตอร์อาจไม่กล้าพัฒนาอย่างที่เห็นในวันนี้ ถึงจะมีข้อจำกัดมากมาย แต่มันก็เป็นก้าวสำคัญที่ผลักเทคโนโลยีไปข้างหน้า
การแข่งขันมักเป็นแรงผลักดันของนวัตกรรม และ Hercules ก็พิสูจน์แล้วว่ามันคือคู่แข่งที่คู่ควรในประวัติศาสตร์ของโลกกราฟิกคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง.
ที่มา: Tom's Hardware



