AMD ได้เผยแพร่วิดีโอใหม่ ซึ่งมีการพูดคุยระหว่าง Jack Huynh รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายคอมพิวติ้งและกราฟิกของ AMD กับ Mark Cerny สถาปนิกระบบหลักของ PlayStation 5 และ PlayStation 5 Pro จาก Sony Interactive Entertainment
ทั้งสองได้พูดถึง Project Amethyst — โครงการความร่วมมือระหว่าง Sony และ AMD ที่มุ่งนำเทคโนโลยี Machine Learning เข้ามาผสานกับกราฟิกและการเล่นเกมในยุคต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อรวม ฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง เข้ากับเทคโนโลยี AI-driven rendering และการปรับแต่งประสิทธิภาพ เพื่อปูทางสู่ “อนาคตของความบันเทิงแบบอินเทอร์แอกทีฟ”
ในวิดีโอนี้ ทั้งสองยังได้พูดถึง 3 เทคโนโลยีหลัก ของ Project Amethyst ได้แก่:
Neural Arrays — ระบบที่ทำให้หน่วยประมวลผล (GPU compute units) สามารถทำงานร่วมกันเหมือนเป็น “AI Engine” หนึ่งเดียว ช่วยให้โมเดล Machine Learning ขนาดใหญ่รันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง และขยายขนาดการทำงานได้ดีกว่าเดิม
Radiance Cores — ฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ Ray Tracing และ Path Tracing แบบเรียลไทม์ ทำให้การจำลองแสงมีความสมจริงมากขึ้น พร้อมลดภาระของ GPU หลัก ให้สามารถโฟกัสกับงาน shading ได้เต็มที่ ผลลัพธ์คือกราฟิกที่เร็วขึ้น สวยขึ้น และใช้พลังงานคุ้มค่ามากกว่าเดิม
Universal Compression — ระบบบีบอัดข้อมูลทุกประเภทที่ส่งไปยังหน่วยความจำ (ไม่ใช่แค่ texture) โดยส่งเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น ช่วยลดการใช้แบนด์วิดธ์ได้อย่างมาก และส่งผลให้เกมมีรายละเอียดภาพที่สูงขึ้น เฟรมเรตดีขึ้น และประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีทั้งหมดนี้ยังอยู่ในขั้นตอน “จำลองในซอฟต์แวร์” เท่านั้น ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้จริงในฮาร์ดแวร์ จึงอาจต้องรออีก สองถึงสามปี กว่าจะได้เห็นการใช้งานจริง
“แทนที่ compute units จะทำงานแยกกัน เราสร้างระบบที่ทำให้มันทำงานร่วมกันเหมือนสมองเดียวกัน — เปลี่ยนเกมสำหรับการเรนเดอร์แบบ AI อย่างแท้จริง”
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า
ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Sony ประกาศว่า PlayStation 5 Pro จะได้รับเทคโนโลยี FidelityFX Super Resolution 4 (FSR 4) เวอร์ชันเต็มจาก AMD ภายในปี 2026
และคอนโซลยุคถัดไปของทั้ง PlayStation และ Xbox จะใช้ สถาปัตยกรรมกราฟิก UDNA รุ่นใหม่ของ AMD
โดย UDNA คาดว่าจะให้ประสิทธิภาพการเรนเดอร์แบบ raster สูงกว่า RDNA 4 ประมาณ 20% ต่อหนึ่ง Compute Unit (CU) หากสเปกหน่วยความจำและแพลตฟอร์มหลักเท่ากัน และยังจะให้ประสิทธิภาพ Ray Tracing เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับ RDNA 4 อีกด้วย
— Jack Huynh (@JackMHuynh)