แม้ว่าสกุลเงินดิจิทัลจะมีอิทธิพลมหาศาลต่อการค้า เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และแม้แต่การเมือง แต่ตัวตนที่แท้จริงของผู้สร้าง Bitcoin ในนามแฝง ซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) ก็ยังคงเป็นปริศนาจนถึงปี 2025 ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาเป็นบุคคลเพียงคนเดียว หรือเป็นชื่อที่แทนกลุ่มคนหลายคน เพราะบุคคล (หรือกลุ่มบุคคล) นี้ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในวันนี้เมื่อปี 2010 ซึ่งตรงกับ 15 ปีพอดี
แม้ข้อความสาธารณะครั้งสุดท้ายของผู้ก่อตั้ง Bitcoin จะเป็นเรื่องเทคนิค แต่ในเดือนเมษายนปี 2011 มีอีเมลฉบับหนึ่งที่ดูเหมือนจะถูกส่งจากบัญชีของนากาโมโตะไปยัง ไมค์ เฮิร์น (Mike Hearn) นักพัฒนาและผู้สนับสนุน Bitcoin รายหนึ่ง โดยเริ่มต้นด้วยประโยคที่เหมือนเป็นคำอธิบายการหายไปว่า
“ผมได้ย้ายไปทำอย่างอื่นแล้ว” (I've moved onto other things.)
การแก้ปัญหา “การใช้จ่ายซ้ำซ้อน” (Double-spending)
เบนจามิน วอลเลซ ผู้เขียนหนังสือ The Mysterious Mr. Nakamoto: A Fifteen-year Quest to Unmask the Secret Genius behind Crypto เขียนไว้เมื่อต้นปีนี้ว่า ช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้สร้าง Bitcoin คือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2008
ในวันนั้น บทความยาว 9 หน้าในชื่อ
Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System
ถูกเผยแพร่บนเมลลิ่งลิสต์คริปโตที่แทบไม่มีใครรู้จัก ความสำคัญของเอกสารฉบับนี้คือการแก้ปัญหา “double-spending” ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่นักเข้ารหัสพยายามแก้มานานหลายทศวรรษแต่ไม่สำเร็จ
โดยแก่นของแนวคิดคือการใช้ บัญชีแยกประเภทสาธารณะ (public ledger) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อป้องกันการคัดลอกหรือใช้จ่ายสินทรัพย์ดิจิทัลซ้ำอย่างฉ้อโกง ระบบแบบเพียร์ทูเพียร์นี้ถูกพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยนากาโมโตะในช่วงหลายเดือนถัดมา ก่อนที่เขาจะหายตัวไป
ซาโตชิ…อาจเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก
ไม่ว่าปัจจุบันเขาจะอยู่ที่ไหน หรือใช้ชีวิตอย่างไร ชื่อที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์คริปโตนี้ อาจเป็นหนึ่งใน “บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก” ด้วยซ้ำ
ซาโตชิถูกจัดอันดับว่าเป็นมหาเศรษฐีลำดับที่ 11 โดยคาดว่ายังคงถือครอง Bitcoin ส่วนใหญ่จากประมาณ 1.1 ล้าน BTC ที่เขาขุดได้ในปีแรกของเครือข่าย
หากประเมินตามมูลค่าในปัจจุบัน ทรัพย์สินคริปโตนี้จะมีมูลค่าราว 99,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าราคา Bitcoin จะปรับลดลงมาอยู่แถว ๆ 90,000 ดอลลาร์ หลังจากแกว่งตัวอยู่ในช่วง 110,000–120,000 ดอลลาร์มาหลายเดือนก็ตาม
…หากเขายังมีชีวิตอยู่ และยังเข้าถึงเหรียญเหล่านั้นได้
Bitcoin ของซาโตชิไม่เคยถูกใช้จ่ายเลยนับตั้งแต่ปี 2010 แม้มูลค่าจะผันผวนอย่างรุนแรงตลอดหลายปีที่ผ่านมา การ “HODL” ระดับตำนานนี้ ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า ผู้สร้าง Bitcoin อาจเสียชีวิตไปแล้ว หรือสูญเสียการเข้าถึงคริปโตเหล่านั้นโดยไม่ตั้งใจ ขณะที่บางคนก็ยังเชื่อว่าเขาเลือกจะเงียบหายไปโดยเจตนา
Bitcoin ไม่มีระบบหมดอายุ ไม่มีบทลงโทษจากการไม่เคลื่อนไหว และไม่มีการโอนคืนให้เครือข่ายแต่อย่างใด อีกทั้งในปัจจุบัน ยังไม่มีเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวเตอร์หรือการเข้ารหัสสมัยใหม่ใดที่เข้าใกล้การถอดรหัส SHA-256 ได้จริง นั่นหมายความว่า เหรียญเหล่านี้อาจยังคงไม่สามารถเข้าถึงได้โดยใครก็ตาม นอกจากซาโตชิเองไปอีก 20–40 ปี
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทั้งหมดอาจเปลี่ยนไปทันที หากมีการเคลื่อนไหวหรือใช้จ่าย Bitcoin ของผู้ก่อตั้งแม้เพียงเล็กน้อย เพราะนอกจากจะสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่แล้ว ยังจะทำให้ public key ของเหรียญนั้นถูกเปิดเผย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการโจมตีในอนาคต หากวันหนึ่งควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังเพียงพอถือกำเนิดขึ้นจริง
ที่มา: Tom's Hardware



