Microsoft ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ให้กับ BitLocker ซึ่งเป็นคอมโพเนนต์สำคัญของ Windows 11 โดยตั้งแต่ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เป็นต้นไป จะมีการเพิ่ม BitLocker แบบเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการเข้ารหัส รวมถึงความเร็วในการอ่าน–เขียนข้อมูล ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ตามรายงานของ Neowin ที่ผ่านมา ภาระการใช้ CPU ของ BitLocker มักต่ำกว่า 10% แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี NVMe ที่ทำให้ความเร็ว I/O สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง BitLocker แบบซอฟต์แวร์เริ่มตามไม่ทันหากไม่เพิ่มการใช้ทรัพยากร CPU ดังนั้น Microsoft จึงตัดสินใจอัปเกรด BitLocker ไปสู่เวอร์ชันที่ใช้การเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์
Microsoft ระบุว่า BitLocker แบบฮาร์ดแวร์ให้ประสิทธิภาพเหนือกว่าแบบซอฟต์แวร์ในทุกมิติของงานจัดเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน–เขียนแบบลำดับ (Sequential) หรือแบบสุ่ม (Random) โดยเมื่อเทียบกับเวอร์ชันซอฟต์แวร์แล้ว สามารถลดการใช้ CPU ได้เฉลี่ยถึง 70% และประสิทธิภาพโดยรวมใกล้เคียงกับระบบที่ไม่ได้เปิดใช้งาน BitLocker
จากการทดสอบด้วย CrystalDiskMark พบว่า
BitLocker แบบซอฟต์แวร์ มีความเร็วอ่านในโหมด SEQ1M Q1T1 อยู่ที่ 1,632.52 MB/s
BitLocker แบบฮาร์ดแวร์ เพิ่มความเร็วอ่านเป็น 3,746.55 MB/s
อัตราการถ่ายโอนข้อมูลแบบลำดับในเธรดเดียวเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า แสดงให้เห็นชัดเจนว่าคอขวดจาก CPU ถูกลดลง ส่วนความเร็วเขียนก็เพิ่มจาก 1,513.43 MB/s เป็น 3,530.82 MB/s และตัวชี้วัดแบบสุ่มอื่น ๆ ก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
BitLocker แบบฮาร์ดแวร์ที่อัปเกรดใหม่นี้ใช้การเข้ารหัส XTS-AES-256 โดยย้ายภาระการคำนวณการเข้ารหัสจาก CPU ไปยัง AES Encryption Engine เฉพาะทางภายใน SoC ทำให้สามารถคืนทรัพยากร CPU ไปใช้กับงานอื่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมและยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่
นอกจากนี้ BitLocker แบบฮาร์ดแวร์ยังสามารถทำงานร่วมกับ TPM (Trusted Platform Module) บนเครื่องพีซีได้ โดยอาศัยฮาร์ดแวร์เฉพาะภายใน SoC ทำให้ไม่มีคีย์ของ BitLocker ปรากฏอยู่ใน CPU หรือหน่วยความจำ ซึ่งช่วยยกระดับความปลอดภัยไปอีกขั้น
Microsoft ระบุว่า BitLocker แบบเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จะเริ่มนำมาใช้ก่อนบนแพลตฟอร์ม Intel Core Ultra 3 ที่รองรับเทคโนโลยี vPro และเมื่อเทคโนโลยีมีความพร้อมมากขึ้น จะขยายการรองรับไปยังพีซีทั้งหมดที่มีฮาร์ดแวร์รองรับ BitLocker แบบฮาร์ดแวร์ในอนาคต
ที่มา: HKEPC



